“ทำอะไรไร้สาระ! รอให้ลุงใหญ่กลับมาเถอะ จะได้ถลกหนังไปขายที่ร้านหนังในหมู่บ้าน ยังไงก็ได้สองตำลึงเงิน!”
ฤดูหนาวปีที่แล้ว ยิงธนูล่าได้จิ้งจอกตัวหนึ่ง แม้ที่ท้องจะมีรอยขีดข่วน แต่ก็ได้ข่าวว่าขายไปได้ตั้งหลายตำลึงเงิน!
หวังเฟิ่งอิงรู้เรื่องนี้ดี จึงพยักหน้าหงึกๆ “หนังจิ้งจอกขายได้เงินแน่นอน”
ฉินเหล่าไท่หัวเราะอย่างเบิกบาน พลางตบไหล่ผอมบางของจ้าวจิ่นเอ๋อร์เบาๆ
“นังหนูจิ่นของเรา ดูเหมือนจะโชคร้าย แต่จริงๆกลับมีแต่โชคดี ทำไมถึงเรียกนางว่าตัวซวยล่ะ? ข้าดูแล้วนางนี่แหละดาวนำโชค!”
จ้าวจิ่นเอ๋อร์ได้หนังจิ้งจอกสวยๆ แบบนี้มาโดยบังเอิญ แม้สามีและลูกชายของตนที่เข้าไปในป่ายังไม่กลับมา แต่หวังเฟิ่งอิงก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อ
มีเพียงฉินเจินจูที่เบ้ปากพลางพูดว่า “ตัวซวยกลายเป็นดาวนำโชคแล้วหรือ? ข้าไม่เชื่อหรอก!”
ฉินเหล่าไท่ถลึงตาใส่นาง “ถ้าปากยังพูดจาสกปรกอีกก็คอยดูนะว่าข้าจะฉีกปากเจ้ายังไง! ฟ้ามืดแล้ว พวกนางนั่งว่างกันอยู่ได้ ไฟหุงข้าวก็ยังไม่จุด น้ำร้อนก็ยังไม่ได้ต้ม พวกผู้ชายจะกลับมาแล้ว ถ้าเสียเวลาจนทำให้พวกเขาหิวข้าว ก็มาดูสิว่าข้าจะด่าพวกเจ้ายังไง!”
ฉินเจินจูอัดอั้นตันใจ ทั้งหมดก็เพราะตัวซวยนั่น ทุกคนถึงได้ร้อนใจจน จะมีอารมณ์ที่ไหนไปหุงหาอาหาร
ท่านย่านางนี่ช่างหัวเลอะเลือนเสียจริง ที่คอยปกป้องเด็กคนนั้น!
“รีบต้มน้ำ แล้วจับห่านนั่นมาฆ่า วันนี้ทุกคนวุ่นกันมาทั้งวัน ตอนเย็นจะได้กินเนื้อให้อิ่มซะที!” ฉินเหล่าไท่สั่ง
พวกผู้หญิงในเรือนก็เริ่มฆ่าห่านกันที่ลานเรือน ครอบครัวนี้ล้วนเป็นคนที่รู้จักใช้ชีวิตอย่างประหยัด ห่านป่าตัวหนึ่งถูกฆ่า ไม่มีแม้แต่ขนเส้นเดียวที่ถูกทิ้งให้เสียเปล่า
เลือดถูกปล่อยออกมาให้จับตัวเป็นก้อนเลือด ขนห่านถูกถอนออกไปล้างแล้วตากไว้ เมื่อแห้งแล้วจึงเอาก้านขนออก ทำเสื้อกั๊กขนเป็ดที่ไม่หนาไม่บางให้เมี่ยวเมี่ยวลูกสาวของพี่คนโต ส่วนหัวใจ ตับ ปอด และลำไส้ก็คลุกแป้งล้างจนสะอาดแล้วหมักไว้ รอให้แห้งแล้วเติมดอกไม้จีนแห้งที่เก็บไว้ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิ ใส่ลงไปในข้าวแล้วนึ่ง หอมจนแทบทำให้คิ้วหลุด
หวังเฟิ่งอิงยกเขียงออกมา แล้วสับห่านออกเป็นสองส่วนตรงลานเรือน “วันนี้จะตุ๋นซีอิ๊วแดงครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งจะตากแห้งไว้กินทีหลัง”
ฉินเหล่าไท่แม้ไม่ชอบที่ปากหวังเฟิ่งอิงพูดมาก แต่ก็ต้องยอมรับว่าสะใภ้คนนี้เป็นมือหนึ่งเรื่องการจัดการงานเรือน เลยพยักหน้าเอ่ย “เจ้าจัดการตามที่เห็นสมควรเถอะ”
จ้าวจิ่นเอ๋อร์ที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วงมาตลอด ก้มหน้าก้มตาทำงานโดยไม่กล้าพูดอะไร ตอนนี้จู่ๆ ก็เอื้อมมือไปดึงชายเสื้อของฉินเหล่าไท่ “ท่านย่า...”
ฉินเหล่าไท่เห็นท่าทางลังเลของนาง ก็ยิ้มพลางถาม “มีอะไร บอกย่าเถอะ!”
“อาซิวร่างกายอ่อนแอ ถ้าให้กินของมันๆ แบบตุ๋นซีอิ๊วแดง เขาคงย่อยไม่ไหว ตักเนื้อสักสองชิ้นไปตุ๋นซุปใสให้เขาได้หรือไม่?”
จ้าวจิ่นเอ๋อร์ที่ไม่มีหน้าที่ช่วย จึงไปตักน้ำซุปในหม้อดินสองถ้วย ก่อนยกไปให้เมี่ยวเมี่ยวหนึ่งถ้วย แล้วพูดว่า “ท่านย่า ลุงใหญ่ ป้าสะใภ้ ข้าขอเอาซุปไปให้อาซิวก่อนนะเจ้าคะ”
ฉินเหล่าไท่ยิ้มพลางพยักหน้า “ไปเถอะ เด็กคนนั้นก็ห่วงเจ้ามาทั้งวันแล้ว ข้าวเที่ยงยังไม่ได้กินเลย”
จ้าวจิ่นเอ๋อร์สะดุ้งเล็กน้อย อาซิวห่วงนางมาทั้งวันเชียวหรือ?
เมื่อไปถึงห้อง ก็เห็นฉินมู่ซิวนั่งพิงหัวเตียงอยู่ ใบหน้าแสดงความกังวล เขาไอไปพลางหันมองที่ประตูเป็นระยะ
เมื่อเห็นนางเข้ามา เขาก็เผยรอยยิ้มออกมาก่อนจะทำหน้าจริงจังแล้วพูดว่า “เจ้าเข้าไปในป่าเองได้ยังไง ไม่รู้หรือว่าป่ามีหมาป่า เสือ และสัตว์อันตรายอื่นๆ ถ้าเจอพวกมันเข้า พวกมันสามารถกินเจ้าได้ในคำเดียวเลยนะ!”
แม้คำพูดจะดูเหมือนตำหนิ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกันข้างนอก
จ้าวจิ่นเอ๋อร์ไม่รู้สึกโกรธเลยสักนิด นางไม่ใช่คนที่แยกแยะดีชั่วไม่ออก เพราะนางเข้าใจว่าคนกำลังเป็นห่วง
“คราวหน้าจะไม่กล้าอีกแล้ว”
เสียงของนางอ่อนนุ่ม ดวงตาเรียวยาวกระพริบเบาๆ ดูน่าสงสาร จนฉินมู่ซิวไม่อาจตำหนินางต่อได้ จึงได้แต่ส่ายหัวอย่างจนปัญญา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภรรยานำโชคสุดที่รัก