เข้าสู่ระบบผ่าน

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา นิยาย บท 1007

บทที่ 1007 เขาเรียกตนเองว่าเหยียนเสวียนจื่อ

แดนศักดิ์สิทธิ์ สำหรับชนเผ่าต่างๆ ในดินแดนต้องประสงค์มีความหมายมากมาย

ทั้งความหวัง ความชิงชัง สุดท้ายผสานรวมเป็นความซับซ้อน

หากกาลเวลาผันผ่านไปเช่นนี้ หรือบางทีเมื่อเวลาผ่านไปนานพอสมควร ความรู้สึกของแต่ละเผ่าพันธุ์ที่มีต่อแดนศักดิ์สิทธิ์อาจจะค่อยๆ จางหายไป และถูกลืมเลือนไปในที่สุด

ทว่าผู้ใดเล่าจะคาดคิด แดนศักดิ์สิทธิ์…จะกลับมาอย่างกะทันหันอีกครั้งในช่วงปีที่ผ่านมา พร้อมกับนำสงครามมาด้วย

เพลิงสงครามแผ่พิษร้าย กลืนกินดินแดนต้องประสงค์

ความสับสน ความโกรธขึ้ง ความไม่ยินยอม จิตสังหาร และความแค้นเคืองที่สั่งสมมานับหมื่นปี…อารมณ์ความรู้สึกนานัปการเหล่านี้ กำลังปะทุในจิตใจชนเผ่าต่างๆ ในดินแดนต้องประสงค์

ยามนั้นพวกเจ้าจากไป นำเอาผู้กล้าและความหวังจากไปไปจนสิ้น

บัดนี้ พวกเจ้าหวนกลับมา ยืนหยัดอยู่เหนือสรรพสิ่ง นำเพลิงสงครามกลับมา

ดังนั้นการตอบโต้จากชนเผ่าต่างๆ ในดินแดนต้องประสงค์ก็เริ่มต้นขึ้นจากการเรียกร้องของชนเผ่ามหาอำนาจในทิศบูรพา ทักษิณ ประจิมและอุดร

แนวทางของแต่ละฝ่าย ล้วนแตกต่างกัน

เขตแดนบางแห่งก่อสงครามเต็มรูปแบบ พลังวิเศษแผ่ซ่าน วิชาเวทสะท้านฟ้าดินในชั่วขณะหนึ่ง

เขตแดนบางแห่งตั้งรับป้องกัน ควบคุมขอบเขตของสงคราม

ส่วนทิศบูรพา กลับยึดมั่นในการกุมอำนาจผู้นำและจังหวะเป็นสำคัญ แทบจะทันทีที่เพลิงสวรรค์ของสี่แดนศักดิ์สิทธิ์ระดับดำดับลง ลำแสงเก้าสิบเก้าลำพลันพุ่งทะยานขึ้นฟ้าจากทุกหนแห่งในทิศบูรพา

ก่อเกิดเป็นค่ายกลสะท้านพิภพ ผนึกกำลังชนเผ่าจำนวนมาก ผสานรวมไอพลังประหลาด ห่อหุ้มดินแดนต้องประสงค์ทิศบูรพา ทั้งยังครอบคลุมทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณและทะเลในระหว่างดินแดน

สกัดกั้นหนทางหวนคืนของแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับเหลืองที่ถูกขับไล่ ทั้งยังแบ่งแยกระหว่างโลกเบื้องล่าง

ทำให้สี่แดนศักดิ์สิทธิ์ระดับดำ ทำได้เพียงลอยคว้างอยู่นอกแนวป้องกัน

ในเวลาเดียวกัน ไอพลังประหลาดยังแปรเปลี่ยนเป็นกลยุทธ์สำคัญของดินแดนต้องประสงค์ แผ่ซ่านเหนือม่านฟ้า รุกรานแดนศักดิ์สิทธิ์

จากนั้น สามเทพเจ้าแห่งนภาคิมหันต์และจักรพรรดินีก็พลันปรากฏกาย ผนึกกำลังสมบัติขุนพลนภาทมิฬอมตะ ตลอดจนดวงตะวันแสงอรุณที่เผ่ามนุษย์เตรียมพร้อมรับสงคราม ประลองยุทธ์ขั้นสูงสุดกับจักรพรรดิแห่งสี่แดนศักดิ์สิทธิ์

การประลองยุทธ์ครานี้ ยาวนานถึงเจ็ดวัน

ในเจ็ดวันนี้ ท้องนภาพร่าเลือนเป็นสีเทา ภาพเสมือนฉากนั้นหวนคืนมาอีกครา ปกคลุมม่านฟ้า

ปุถุชนยากจะหยั่งรู้ชัยผลแพ้ชนะ รู้เพียงว่าเจ็ดวันหลังจากนั้น เทพเจ้าทั้งสามหวนคืนมา ต่างปิดด่านฝึกตน ส่วนจักรพรรดินีทำราวกับทุกสิ่งยังคงเป็นปกติ

ส่วนจักรพรรดิแห่งสี่แดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่อาจคาดเดาได้ ทว่าในสงครามที่ตามมา จักรพรรดิทั้งสี่มิได้ปรากฏกายอีกครา เช่นเดียวกับเทพเจ้าทั้งสาม

และแล้วหนึ่งเดือนก็ผันผ่านไปเช่นนี้

ภายใต้การนำของนภาคิมหันต์และเผ่ามนุษย์ สงครามขนาดย่อมยังคงปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แม้บางคราวจะยังมีผู้บำเพ็ญแดนศักดิ์สิทธิ์ลอบบุกเข้าสู่ค่ายกลทิศบูรพาโดยใช้วิธีการพิเศษ หวังทำลายศูนย์กลางค่ายกล ทว่าพวกเขาก็ถูกติดตามร่องรอยและสังหารทีละคน โดยกองกำลังพิเศษที่ชนเผ่าต่างๆ ในทิศบูรพาร่วมกันก่อตั้งขึ้น

ในระหว่างนี้ เฟิงหลินเทาสร้างความดีความชอบไว้มากมาย

เมื่อครึ่งเดือนก่อน ในที่สุดเขาก็มาถึงเขตแดนเผ่ามนุษย์ เปิดเผยฐานะ หวังจะขอเข้าเฝ้าจักรพรรดินี

ทว่าจักรพรรดินีกลับมิได้เรียกพบในทันที หากแต่จัดแจงให้เขาเข้าร่วมกองกำลังพิเศษทิศบูรพา เข้าร่วมสงครามตามล่าผู้บุกรุก

จำเป็นต้องเท้าความว่า เพื่อที่จะได้รับความคุ้มครอง เฟิงหลินเทาตัดสินใจทุ่มเทสุดกำลัง เฉพะาผู้บุกรุกที่เขาเป็นผู้พบเจอ ก็มีจำนวนหลายสิบคน

ยามลงมือไร้ปรานี เข่นฆ่าชนเผ่าเดียวกัน โหดเหี้ยมถึงขีดสุด

อีกทั้งทุกคราที่เข่นฆ่า เขาจะต้องตัดศีรษะของอีกฝ่าย ผูกร้อยไว้ที่เอว จนกระทั่งในท้ายที่สุด ศีรษะเหล่านั้นก็เรียงรายกันหนาแน่นจนเหมือนกระโปรงยาว ทำให้ผู้พบเห็นต้องหวาดผวาทุกคราที่ปรากฏกาย

ในที่สุด ด้วยความมานะของเขา ครึ่งเดือนให้หลังเขาก็ถูกจักรพรรดินีเรียกเข้าเฝ้า

เวลานี้ ที่นอกตำหนักใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ เขายืนตระหง่านด้วยความสงบเสงี่ยม ในดวงตาเผยความบ้าคลั่งและปิติยินดี ทว่าในจิตใจกลับเย็นเยียบ

“ช่วงเวลาที่ผ่านมา ข้าได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับจักรพรรดินีเผ่ามนุษย์ผู้นี้มาหนาหู…”

“เปรี่ยนวิถีบำเพ็ญเพื่อสำเร็จเทพ ใช้ร่างสตรีต่อกรกับพลังของเหล่าจักรพรรดิมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย และสร้างแท่นเทวะของตนเอง…”

“จักรพรรดินีผู้นี้ มิใช่คนธรรมดา…แต่ยิ่งไม่ธรรมดาเท่าไร ก็ยิ่งมั่นใจในตนเองมากเท่านั้น และคนเช่นนี้…เหมาะสมกับเส้นทางหลบหนีที่ข้าเตรียมไว้ให้ตนเองยิ่งนัก”

เฟิงหลินเทาพึมพำในใจ จากนั้นก้มศีรษะลงทอดสายตากระโปรงศีรษะมนุษย์ของตน

สิ่งเหล่านี้ คือจดหมายแนะนำตัวเบื้องต้นของเขา

การสวามิภักดิ์ต่อเผ่ามนุษย์ คือทางเลือกที่เขาใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน ทั้งยังเป็นหนทางเดียวที่เขาจำหลีกหนีจากเคราะห์กรรมนี้ จากการวิเคราะห์ของเขา

“ทว่าต่อจากนี้ ข้าจำต้องพิสูจน์คุณค่าของตน ว่าข้าสวามิภักดิ์ด้วยใจจริง”

เฟิงหลินเทาหรี่นัยน์ตาลง เขารู้ว่าสิ่งที่เขาคิดอยู่นั้น สำหรับเทพเจ้าแล้วไซร้ หากต้องการสืบเสาะย่อมง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ…ซึ่งความจริงก็เป็นสิ่งที่เขาจงใจทำ

ขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงสงบราบเรียบเสียงหนึ่งพลันแว่วมาจากตำหนักใหญ่วังหลวงเผ่ามนุษย์

“เรียกเฟิงหลินเทาเข้าเฝ้า ถวายบังคม”

เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของเฟิงหลินเทาพลันเคร่งขรึม คารวะตำหนักใหญ่อย่างนอบน้อม จากนั้นจึงก้าวเท้าเข้าไป

ทันทีที่ย่างกรายเข้าสู่ภายในวัง เขาก็ได้เห็นผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์หลายร้อยคนยืนตระหง่านในตำหนักใหญ่ คนเหล่านั้นแยกออกเป็นสี่แถว ล้วนจับจ้องมายังตน

ที่เบื้องหน้าสุด คือบันไดขั้นมหึมาเป็นชั้นๆ เหนือขั้นบันไดปรากฏที่นั่งมากมาย นั่นคือตำแหน่งของโหวนภา ส่วนที่สูงยิ่งขึ้น คือที่สำหรับอ๋องสวรรค์

ที่ชั้นบนสุด คือบัลลังก์จักรพรรดิอันสูงตระหง่าน จักรพรรดินีนั่งประทับด้วยสีหน้าราบเรียบ

ข้างกายของนาง ปรากฏเงาร่างผู้หนึ่งยืนในท่าทีสงบเสงี่ยม สวมใส่ฉลองพระองค์รัชทายาท นั่นคือหนิงเหยียน

หลังได้รับการสถาปนาเป็นรัชทายาท ในทุกการประชุมราชสำนัก เขาจะยืนอยู่ข้างกายจักรพรรดิ จุดประสงค์มิใช่เพื่อศึกษาการบริหารบ้านเมือง หากแต่เป็นการสังเกตการณ์ นี่คือข้อเรียกร้องจากพระมารดาของเขา

ในเวลานี้ เขากำลังสังเกตการณ์ผู้บำเพ็ญแดนศักดิ์สิทธิ์ที่สวามิภักดิ์ต่อเผ่ามนุษย์เป็นรายแรก

“เฟิงหลินเทาคารวะจักรพรรดิมนุษย์หลี่เซี่ย!”

เฟิงหลินเทาถอนสายตา คารวะจักรพรรดินี โดยมิลังเลแม้แต่น้อย เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครา เขาก็ยกมือขวาขึ้นกระชากลำตัว

ศีรษะมนุษย์นับสิบถูกเขาดึงทึ้งลงมา วางไว้ข้างกาย

“ฝ่าบาท สิ่งเหล่านี้คือจดหมายแนะนำตัวที่กระหม่อมส่งมอบให้แก่พระองค์ บางส่วนนนั้นเป็นลูกหลานตระกูลชั้นสูงในแดนศักดิ์สิทธิ์ สถานะหาได้ต่ำต้อยไม่”

“ทว่ากระหม่อมทราบดี เพียงเท่านี้ ยังไม่อาจพิสูจน์ความจริงใจของกระหม่อมได้”

“ดังนั้น กระหม่อมยังเตรียมพร้อมเรื่องราวลับสุดยอดอีกสองเรื่องมาทูลแก่พระองค์!”

“ประการแรก เมื่อพันปีก่อน แดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมารมิได้อยู่ในระดับดำ หากแต่เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับพสุธา ดังนั้นจักรพรรดิที่เคยประทับอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่ได้มีเพียงหนึ่งพระองค์ หากแต่เป็นสองพระองค์!”

“จวบจนกระทั่งพันปีก่อน บรรพจารย์ปีกมารผู้ทรงพลังระดับจักรพรรดิขั้นสูงสุด พยายามที่จะทะลวงระดับกึ่งเซียน หวังจะก้าวสู่ระดับเซียนคิมหันต์ ทว่ากลับล้มเหลว ร่างกายดับสูญดวงวิญญาณสลาย ทิ้งไว้เพียงตำราสืบทอด จากนั้นจึงนั่งมรณะ”

“ดังนั้น แดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมารจึงเสื่อมถอย กลายเป็นระดับดำ”

“ทว่ามีตำนานเล่าขาน ว่าบรรพจารย์ปีกมารผู้นี้ยังมีโอกาสคืนชีพ ขอฝ่าบาททรงระวังพระองค์”

เสียงเฟิงหลินเทาก้องกังวานไปทั่วตำหนักใหญ่ เหล่าขุนนางชั้นสูงโดยรอบต่างสีหน้าแปรเปลี่ยน ดังนั้น เฟิงหลินเทาจึงเว้นวรรค รอคอยอยู่ครู่ใหญ่ จึงเอ่ยขึ้นอีกครา

“ประการที่สอง คือเหตุผลที่แดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดหวนกลับมา…”

คำพูดของเขา ดึงดูดทุกสายตาในฉับพลัน

ท่ามกลางสายตาจำนวนมากที่จับจ้อง เฟิงหลินเทารวบรวมสมาธิและเปล่งเสียงทุ้มต่ำ

“จุดประสงค์มีสามประการ!”

“ประการแรก พวกเขาต้องการจะจากไปอย่างถาวร ดังนั้นจึงเตรียมตัวกลับมาก่อนจะจากลา รวบรวมสรรพสิ่งที่สามารถนำติดตัวไปได้ทั้งหมด”

“ประการที่สอง พวกเขาจำต้องประกอบพิธีสังเวยโลหิต ทั้งนี้เพื่อที่ช่วงชิงทรัพยากรให้ได้มากขึ้น สงครามจึงจะอุบัติขึ้น”

“ประการที่สาม พวกเขาถูกบัญชาให้ลงมาจุติ!”

“ส่วนผู้ที่บัญชาพวกเขา มิใช่จักรพรรดิโบราณเสวียนโยว”

“ในความเป็นจริง จักรพรรดิโบราณหายสาบสูญไปอย่างน่าประหลาดเมื่อสองหมื่นปีก่อน ต่อมาแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ตกอยู่ในภาวะโกลาหลไร้ผู้นำ จนกระทั่งเมื่อสองพันปีก่อน เซียนคิมหันต์โบราณผู้ที่เคยจากดินแดนต้องประสงค์ไป…หวนกลับมา!”

เสียงก้องกังวาน ทำให้ผู้คนในตำหนักใหญ่หลวงเผ่ามนุษย์ต่างจิตใจสั่นไหว คำรามก้อง

บทที่ 1007 เขาเรียกตนเองว่าเหยียนเสวียนจื่อ 1

บทที่ 1007 เขาเรียกตนเองว่าเหยียนเสวียนจื่อ 2

บทที่ 1007 เขาเรียกตนเองว่าเหยียนเสวียนจื่อ 3

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา