บทที่ 1062 สุสานจักรพรรดิ เปิดแล้ว!
เสียงระฆังที่มาจากเวทีเต๋าเผ่าปีกมารฝั่งบูรพาดังก้องในเข้าตรู่ของวันนี้ เสียงของมันก้องวังวาน ราวกับพายุกวาดโหมไปทั้วทั้งเผ่าปีกมารบูรพา
ในเสี้ยวขณะนี้ ในเผ่าปีกมารบูรพา ไม่ว่าจะเป็นตระกูลหรือจะเป็นผู้บำเพ็ญไร้สังกัด หรือจะเป็นภูเขาเจ้าเหนือหัว ผู้บำเพ็ญทุกคนต่างได้ยินกันทั้งนั้น อดเงยหน้ามองไปไม่ได้ เงยหน้ามองเวทีเต๋าปีกมารบูรพา
พวกเขารู้…สถานที่ปิดด่านของมหาจักรพรรดิหมิงเหยียน วันที่มันเปิดออก มาถึงแล้ว
และมหาจักรพรรดิหมิงเหยียน สำหรับแดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมารแล้วเป็นชื่อที่รุ่งโรจน์และน่าสะพรึงกลัว
เขาไม่ใช่ผู้สืบทอดสายตรง
เมื่อนานมาแล้วได้หายตัวไปอย่างน่าแปลกประหลาด หลายปีหลังจากนั้นเมื่อกลับมาก็ก้าวสู่ระดับมหาจักรพรรดิ
ในยามที่เขารุ่งเรืองถึงขีดสุด แม้จะปกครองเผ่าปีกมารฝั่งบูรพา แต่อาศัยพลังที่น่าสะพรึงกลัวของเขาก็ได้รวมทั้งฝั่งประจิมและบูรพาไว้เป็นหนึ่งเดียวกัน
กระทั่งว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับดำก็ยังต้องก้มหัวให้เขา
เพราะมหาจักรพรรดิหมิงเหยียนผู้นี้มาถึงจุดสูงสุดของระดับมหาจักรพรรดิแล้ว ห่างจากเซียนคิมหันต์อีกเพียงแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น
กระทั่งว่ามหาจักรพรรดิปีกมารรุ่นนี้ก็ยังต้องก้มศีรษะให้เขา แม้จะสืบทอดชื่อปีกมาร แต่ก็เป็นเพียงแค่หุ่นเชิดเท่านั้น
เวลาช่วงนั้น เป็นเวลาที่แดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมารเปล่งประกายที่สุด เรียกได้ว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ระดับดำอันดับหนึ่ง
ตามหลักแล้ว มหาจักรพรรดิระดับนี้ไม่มีทางแตกดับได้ง่ายๆ พูดได้กระทั่งว่าอายุขัยหากคิดอยากจะยืดออกไปก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบาก
แต่ที่น่าแปลกประหลาดคือ ความรุ่งโรจน์ของมหาจักรพรรดิหมิงเหยียนคนนี้สั้นนัก หลังจากที่ทะลวงระดับเซียนคิมหันต์ล้มเหลว เพียงแค่ไม่กี่พันปีก็ราวกับเดินมาถึงปลายทางของชีวิตแล้วโดยสมบูรณ์
ไม่มีใครรู้ถึงเหตุผล
ส่วนใหญ่เดาว่า บางทีอาจจะเกี่ยวกับวิธีที่เขาได้พลังบำเพ็ญระดับมหาจักรพรรดิ
ดังนั้นจึงมีการปิดด่านครั้งนี้เมื่อพันปีก่อนของมหาจักรพรรดิหมิงเหยียน
วันนี้พันปีผ่านไป เป็นตายไม่รู้
ส่วนแดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมารก็เนื่องจากการปิดด่านของเขา สถานการณ์จึงค่อยๆ เปลี่ยนไป
มหาจักรพรรดิปีกมารยุคนี้ที่เคยเป็นหุ่นเชิดมาโดยตลอดถึงได้มีโอกาสผงาดขึ้น
จวบกระทั่งวันนี้ สำหรับผู้บำเพ็ญแดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมารแล้ว บางทีทุกอย่างอาจจะได้บทสรุปเสียที
ดังนั้นผู้ที่จับตามองจึงมีนับไม่ถ้วน
แม้แต่สงครามกับเผ่ามนุษย์ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
เผ่าปีกมารถอนทัพ ในช่วงเวลาต่อจากนั้นมีการป้องกันเป็นหลัก ขณะเดียวกัน แดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมารก็เปิดค่ายกลใหญ่แดนศักดิ์สิทธิ์ ป้องกันการเกิดเรื่องไม่คาดฝัน
ทุกสายตา ทุกความสนใจล้วนอยู่ที่เวทีเต๋าเผ่าปีกมารบูรพา
เพราะที่นั่นก็คือสถานที่ปิดด่านของมหาจักรพรรดิหมิงเหยียน
ตอนนี้จากเสียงกังวานมาของระฆัง เงาร่างแต่ละทางๆ ส่งข้ามไป ส่วนขอบฟ้าก็จะเห็นรุ้งยาวทางฝั่งประจิมประชิดเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน เสียงระฆังก็ดังมายังตำหนักวิชาเซียน
ต่อให้เป็นห้องลับที่สกัดกั้นโลกภายนอก เสียงระฆังนี้ก็ยังดังทะลุมาได้ ดังมาในใจของสวี่ชิงและเอ้อร์หนิว
สวี่ชิงลืมตาขึ้น สิ้นสุดการทดลองวิชาห้าหมาสละเซียน
เอ้อร์หนิวถอนหายใจโล่งอก
“ในที่สุดเจ้าก็ตื่นขึ้นมาสักที ข้ายังคิดอยู่ว่าหากเจ้ายังไม่ตื่น ข้าเตรียมจะแบกเจ้าออกไปแล้ว”
ในหลายวันนี้ การทดลองวิชาห้าหมาสละเซียนของสวี่ชิงทำให้ภูมิต้านทานของเขามีความทรงจำต่อวิชาเซียนนี้ลึกล้ำมากขึ้น ระหว่างนั้นก็มีอันตรายเกิดขึ้นอยู่หลายครั้ง แต่ดีที่มีเอ้อร์หนิวคอยคุ้มกัน ดังนั้นจึงผ่านมาได้อย่างราบรื่น
“น่าเสียดายที่เวลาไม่ค่อยพอ”
สวี่ชิงในใจเสียดายหน่อยๆ หากมีเวลาอีกครึ่งเดือน เขามีความมั่นใจว่าจะสามารถลอกเลียนวิชาเซียนนั่นได้โดยสมบูรณ์ แต่ตอนนี้ทำไปได้เพียงแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น
แต่ว่าเขาเองก็รู้ เทียบกับวิชาเซียน สถานที่ปิดด่านของมหาจักรพรรดิหมิงเหยียนถึงจะเป็นเป้าหมายหลักของเขาในการเดินทางครั้งนี้
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ลุกยืนขึ้น มองไปทางเอ้อร์หนิว
“ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเราออกเดินทางเลยไหม”
เอ้อร์หนิวดวงตาฉายความวาดหวัง เลียริมฝีปาก ถูฝ่ามือ หัวเราะเจ้าเล่ห์
“ก่อนไป ข้าจะให้ของวิเศษเจ้าชิ้นหนึ่ง”
พูดแล้ว เอ้อร์หนิวก็ยกมือเอาไข่ที่เต็มไปด้วยรอยร้าวใบหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของ ยื่นให้สวี่ชิง
ไข่นี้ทันทีที่ปรากฏขึ้น ความอัศจรรย์กลุ่มหนึ่งที่หมุนวนอยู่ในนั้นก็ทำให้มิติรอบๆ เกิดการบิดเบี้ยว เห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดา
สวี่ชิงจ้องเพ่ง แค่เห็นก็จำมันได้
“ทำไมถึงไปอยู่กับท่านได้”
นี่เป็นไข่ของหนูสีทองนั่นเอง ตอนนั้นหลังจากที่พวกเขาสองคนได้มา คิดว่าอู๋เจี้ยนอูเชี่ยวชาญการฟักไข่มาก ดังนั้นจึงมอบมันให้กับอู๋เจี้ยนอู
จนกระทั่งเดินทางไปมหาสมุทรนอกกับอวี้หลิวเฉิน ได้พบกับชายชราที่บอกว่ามาจากระบบดาวที่ห้านั่น ได้เห็นกับตาว่าอีกฝ่ายก็มีตัวหนึ่งเหมือนกัน อีกทั้งท่าทางยังหวงแหนให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
ตอนนั้น เขากับเอ้อร์หนิวก็ตระหนักได้ถึงราคาของหนูสีทอง
“ก่อนหน้านี้หลังจากที่พวกเรากลับไปยังเมืองหลวงเผ่ามนุษย์ เจ้าคอยเฝ้าจับตามองเฟิงหลินเทาอยู่ทุกวี่ทุกวัน ส่วนข้าก็ไปหาอู๋เจี้ยนอู”
เอ้อร์หนิวภาคภูมิใจ
“หนูสีทองนี่ล้ำค่าขนาดนี้ ข้ากังวลว่าหากอู๋เจี้ยนอูฟักมันออกมา สายตาแรกที่เห็นก็คือเจ้านั่น กลายเป็นสัตว์เลี้ยงของเขาไป”
“ดังนั้นข้าก็เลยเอาคืนกลับมาจากเขา เตรียมจะฟักเอง”
“นี่ไง ผ่านจากความพยายามของข้าช่วงนี้ ใกล้จะฟักออกมาแล้ว”
เอ้อร์หนิวภาคภูมิใจ
“ครั้งนี้พวกเราเข้าไปในสถานที่ปิดด่านของหมิงเหยียน ไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหน ใบของเจ้าใบนั้น เจ้าเก็บเอาไว้เองก็แล้วกัน คิดว่าอีกไม่กี่วันก็คงจะฟักออกมาแล้ว”
“แม้จะไม่รู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของหนูสีทองนี่ แต่เป็นของดีเรื่องนี้แน่นอนแน่ๆ”
สวี่ชิงได้ยินก็เก็บไข่ในมือลงไปอย่างระมัดระวัง
จากนั้นทั้งสองคนก็มองหน้ากัน มองเห็นถึงความยึดมั่นในสีหน้าและความคาดหวังในการเดินทางครั้งนี้ของกันและกัน
“อาชิงน้อย ไปสถานที่ปิดด่านของหมิงเหยียนครั้งนี้ ข้ายังมีเป้าหมายนอกเหนือจากนั้นอีกอย่างหนึ่ง เกี่ยวกับชาติที่แล้วของข้า”
“แต่ตอนนี้ข้ายังไม่แน่ใจนัก ถ้ามั่นใจแล้ว เจ้าช่วยข้าหน่อย”
เอ้อร์หนิวเอ่ยอย่างเคร่งขรึมจริงจัง
สวี่ชิงไม่ได้ถามรายละเอียด พยักหน้า
เอ้อร์หนิวฉีกยิ้ม ตบๆ ไหล่สวี่ชิง พวกเขาก้าวออกไปพร้อมกัน เพียงพริบตาก็หายไปจากห้องลับ
ในตอนที่ปรากฏตัวขึ้น เอ้อร์หนิวมาอยู่นอกตำหนักวิชาเซียนแล้ว
ส่วนสวี่ชิงกลับอยู่กลางท้องฟ้าห่างไปจากตำหนักวิชาเซียนระยะหนึ่ง หลังจากหันกลับไปมองทางตำหนักวิชาเซียน สวี่ชิงร่างเพียงไหววูบ พุ่งตรงไปยังเวทีเต๋าเผ่าปีกมารฝั่งบูรพา
ส่วนนอกตำหนักวิชาเซียน เอ้อร์หนิวที่จำแลงกายเป็นเยวี่ยตงเอ่ยราบเรียบ
“ตำหนักวิชาเซียนจงฟังคำสั่ง ตามข้าไปยังเวทีเต๋ามหาจักรพรรดิ”
คำพูดของเอ้อร์หนิวเมื่อดังออกมา ปรมาจารย์เซียนจำนวนมหาศาลก็ลอยขึ้นฟ้าพร้อมเผยให้เห็นไพ่ตายที่พวกเขายึดเป็นหลักพึ่งพาออกมา
ส่วนนายน้อยตระกูลอวิ๋นไม่อยู่ที่นี่ เมื่อสามวันก่อนบรรพจารย์ของเขาเรียกตัวให้เข้าพบ จำต้องกลับไป
เช่นนี้เอง คนกลุ่มหนึ่งไม่นานนักก็ทะยานไปอย่างเร็วรี่บนท้องฟ้า
และตอนนี้ ที่แท่นเต๋ามหาจักรพรรดิหมิงเหยียน เวทีเต๋ามหึมารูปปีกแห่งนี้ รอบๆ ทั่วทุกทิศมีผู้บำเพ็ญเผ่าปีกมารฝั่งบูรพาล้อมรอบ ปิดกั้นทางเข้าโดยสมบูรณ์
มีเพียงผู้ที่กำหนดโดยเฉพาะแล้วเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้
ในนั้นมีสามคนนั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศแล้ว รอคอยอยู่เงียบๆ
หากสวี่ชิงมาตอนนี้ก็จะจำสองคนนี้ได้อย่างแม่นยำทันที
คนหนึ่งคือบุตรชายของเจ้าเหนือหัวที่ห้า หลินคุน
อีกคนคือนายน้อยตระกูลอวิ๋น
สองคนนี้เห็นได้ชัดว่าจากในการหารือภายในของเผ่าปีกมารฝั่งบูรพา คือผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้ติดตามเจ้าเหนือหัวที่สิบ
ส่วนคนที่สามหน้าท่าทางเหมือนเด็กหนุ่ม หน้าตาธรรมดา แต่พลังบำเพ็ญเป็นระดับเตรียมสู่เทวะแล้ว
คนคนนี้มาจากภูเขาเจ้าเหนือหัวที่เก้า
พวกเขาเป็นคนที่มาที่นี่กลุ่มแรก และหลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูปในพริบตาที่เสียงระฆังครั้งที่สามดังขึ้น…ท้องฟ้าก็เกิดรอยแยกทางหนึ่งแยกออก
หลี่ว์หลิงจื่อที่จำแลงมาจากจักรพรรดินีเดินออกมาจากในรอยแยก เพียงก้าวก็ลงมาเยือนที่นี่
พวกหลินคุนทั้งสามคนรีบลุกขึ้นคารวะทันที
จักรพรรดินีพยักหน้าเล็กน้อย นั่งขัดสมาธิกลางอากาศ หลับตาไม่พูดจา


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา