บทที่ 1070 พร้อมปะทุเต็มที่
สามฝ่ายนี้ ฝ่ายหนึ่งเป็นเด็กหนุ่ม
อายุประมาณสิบสี่สิบห้า กำลังนั่งสมาธิอยู่ที่ประตูหิน หน้าตางดงาม ผมผูกไว้ง่ายๆ ด้วยแถบผ้าไหม ในยามที่สายตาจ้องมองสวี่ชิงและเอ้อร์หนิวผ่านตากรอยแยกประตูหิน มุมปากยกยิ้ม เผยให้เห็นฟันขาวเป็นระเบียบ ดูบริสุทธิ์ไร้พิษภัยนัก
ข้างกายเขายังมีดักแด้ดำตัวมหึมาอีกตัวหนึ่ง ขนาดตัวของมันใหญ่ยิ่งกว่าตัวเด็กหนุ่มเสียอีก มีรยางค์เต็มไปหมด ดูแล้วเหี้ยมเกรียมนัก
และที่ปากของดักแด้ตอนนี้มีเส้นไหมพ่นออกมาเป็นเส้นไหมสีดำ เชื่อมกับของวิเศษมหาจักรพรรดิที่ดูเหมือนขวดหยกใบหนึ่งรอบโครงกระดูกเซียนในวังใต้ดินแห่งนี้ กำลังดึงเอามาอย่างสุดกำลัง
เส้นไหมถูกลากเป็นเส้นตรง ของวิเศษมหาจักรพรรดิเห็นได้ชัดว่ามีพลังต่อต้าน แม้จะมีแนวโน้มถูกดึงไป แต่ความเร็วของมันกลับเนิบช้าเป็นอย่างยิ่ง
อีกด้านหนึ่ง ที่ยืนอยู่ข้างประตูหินเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง
ผู้หญิงคนนี้เครื่องหน้างดงาม คิ้วราวจันทร์เสี้ยว จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากแดงดุจผลอิงเถา แต่บุคลิกทั้งร่างกลับค่อนข้างเย็นชา สายตาก็เช่นกัน
โดยเฉพาะชุดชาววังที่แขนเสื้อกว้างยิ่งเพิ่มความสูงส่งเข้ามาอีก
สำหรับการปรากฏตัวขึ้นของสวี่ชิงและเอ้อร์หนิว นางเพียงมองผาดเดียวเท่านั้น คิ้วงามขมวดเล็กน้อย แต่ก็เลือกที่จะดึงสายตากลับไป สมาธิรวมไปที่กระจกข้างหน้าอีกครั้ง
นั่นเป็นกระจกแปดเปลี่ยนบานหนึ่ง ลอยอยู่ข้างบน หน้ากระจกหันเข้าหาวังใต้ดิน สะท้อนทุกอย่างในวังใต้ดินไว้ในกระจก
รวมถึงโครงกระดูกเซียน และรวมถึงมรดก อำนาจและของวิเศษรอบๆ โครงกระดูกเซียนด้วย
ส่วนผู้หญิงคนนั้นมือเรียวงามกำลังยืนไปในกระจก คล้ายจกหยิบคว้าเอามา
แต่ความยากเห็นได้ชัดว่ามากนัก จนตอนนี้ก็ยังไม่สำเร็จ
ส่วนฝ่ายสุดท้ายเป็นชายหนุ่ม
ชุดคลุมยาวสีเขียวครามทั้งตัว แต่งตัวอย่างบัณฑิต ผมรัดไว้ที่บนศีรษะ ใช้ปิ่นเรียบๆ เล่มหนึ่งปักเอาไว้
สีหน้าท่าทางของเขาสงบนิ่ง เต็มไปด้วยความสุขุมเยือกเย็นและความสุภาพอ่อนโยน ส่วนรูปร่างนั้นผอมเพรียวสูงโปร่ง ดั่งไผ่ดั่งต้นสน ใบหน้าดูละมุนละไม ดวงตาก็เปล่งประกายมีชีวิตชีวา
ความสนใจของเขาต่อสวี่ชิงและเอ้อร์หนิวน้อยที่สุด เพียงแค่ปรายตามองก็ไม่มองมาอีก
สมาธิทั้งหมดของเขาอยู่ที่ธูปที่กำลังไหม้อยู่ข้างหน้า
ธูปนี้มีขนาดเท่านิ้วแดงฉานทั้งเล่ม ตอนนี้ขณะที่ลุกไหม้ก็ส่งควันสีแดงเป็นระลอกๆ ออกมา บัณฑิตคนนี้เพียงเป่าไปเบาๆ ควันก็เข้ามาในวังใต้ดิน สัมผัสไปบนตราประทับมรดกเหล่านั้น
ควันนี้แปลกประหลาดนัก ภายใต้การรมควันอย่างต่อเนื่องของมัน ตราประทับมรดกเหล่านั้นก็เริ่มกะพริบ คล้ายว่าได้รับมอบพลังชีวิต มีอวัยวะเรียวเล็กงอกออกมา
คล้ายว่าถูกดึงดูด ตอนนี้ต่างเข้าแถว เดินไปทางชายหนุ่มทางนั้นเองช้าๆ
ภาพนี้ปรากฏขึ้นในสายตาสวี่ชิงและเอ้อร์หนิว ความคิดในใจของพวกเขาผุดขึ้นไม่หยุด
ก่อนหน้านี้หลังจากที่ได้พบเจ้าเหนือหัวที่กรรโชกขูดรีดคนนั้น ทั้งสองคนสำหรับตัวตนของคนทั้งหลายเหล่านั้นที่เข้ามาในสถานที่ปิดด่านของหมิงเหยียนก็เดาได้ตั้งนานแล้ว
ตอนนี้เห็นกับตาตัวเอง การคาดเดากลายเป็นความจริงแล้ว
“พวกเขาล้วนเป็นเจ้าเหนือหัวที่ซ่อนพลังบำเพ็ญและตัวตนกันทั้งนั้น”
“และวังใต้ดินแห่งนี้แปลกประหลาดนัก มีอันตรายและความลึกลับที่ไม่อาจล่วงรู้!”
“เจ้าเหนือหัวของเผ่าปีกมารฝั่งประจิมพวกนี้เห็นได้ชัดว่าระมัดระวังเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมองร่องรอยออกอย่างแน่นอน ดังนั้น…พวกเขาถึงไม่เหยียบย่างเข้าไปในวังใต้ดิน แต่ใช้วิธีต่างๆ ในสำนักลองคว้าเอาวาสนามา!”
“อีกทั้ง…พกเขามาปรากฏตัวที่นี่หมด นั่นหมายความว่า วังใต้ดินแห่งนี้ ก่อนหน้านี้พวกเขาล้วนมีความเข้าใจและเตรียมตัวไว้แล้ว!”
สวี่ชิงและเอ้อร์หนิวเข้าใจแจ่มแจ้งขึ้นมาทันที
ทั้งสองคนมองหน้ากัน ล้วนมองเห็นความเคร่งขรึมของกันและกัน
อีกทั้งดูจากสถานการณ์แล้ว พวกเขาอยู่ที่นี่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างแน่นอน
ไม่ว่าคนไหนก็ตาม หากลงมือโจมตีเขาทั้งสองคนล้วนแต่ง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ
“ดีที่มีครอบครัวนี้…”
เอ้อร์หนิวสูดลมหายใจ อดมองไปทางศีรษะทั้งสองนั่นอย่างประจบประแจงไม่ได้ จากนั้นก็กัดฟันกรอด
“ศิษย์น้องเล็ก ตอนนี้สนใจเรื่องความแตกไม่ได้แล้ว เจ้ากับข้าตอนนี้ล้วนแต่มีหน้าตาของร่างจริง พวกเขาอะไรที่ควรเห็นก็เห็นไปพอควรแล้ว…”
“ดังนั้น พวกเรา…”
พูดถึงตรงนี้ เอ้อร์หนิวก็ไม่พูดอะไรต่อ แต่ความหมายของเขาสวี่ชิงสัมผัสรับรู้ได้อย่างกระจ่างแจ้ง
“สู้สักตั้ง!” สวี่ชิงกล่าวอย่างแน่วแน่ ไม่ลังเล
ในดวงตาเอ้อร์หนิวฉายความบ้าคลั่งออกมา พวกเขาลงมือพร้อมกัน ผลักประตูหินที่แยกออกเป็นรอยข้างหน้าเต็มแรง
ต่างปะทุกำลังทั้งหมดที่มี
เสียงครืนครานดังก้อง ประตูหินค่อยๆ ถูกผลักออก จวบจนสุดท้ายก็เปิดออกโดยสมบูรณ์
วังใต้ดินที่ผู้แข็งแกร่งระดับเจ้าเหนือหัวยังไม่กล้าเหยียบย่างเข้าไปง่ายๆ สวี่ชิงและเอ้อร์หนิวแม้จะบ้าระห่ำ แต่บ้าระห่ำกับฆ่าตัวตายเป็นคนละเรื่องกัน อย่างน้อย…ตอนนี้ก็ยังไม่ถึงระดับนั้น
ดังนั้นหลังจากที่ประตูใหญ่เปิดออก ทันทีที่มาถึงวังใต้ดินที่ขอบเขตสายตาที่กวาดมอง จ้องมองซากศพที่เกลื่อนกลาดบนพื้น สวี่ชิงและเอ้อร์หนิวก็วิเคราะห์ได้ทันที
เสี้ยวขณะต่อมา ดวงตาทั้งสองข้างของเอ้อร์หนิวมีหมอกสีเทาปรากฏขึ้น
มีดสลักแห่งชะตาวาสนาในร่างของสวี่ชิงก็แผ่สายหมอกออกมาเช่นกัน
พลังของทั้งสองฝ่ายหลอมรวมกัน ซัดโหมเข้าไปในวังใต้ดินอย่างไม่ลังเล
เพียงพริบตา ซากศพซากหนึ่งดวงตาพลันฉายประกายวาบ แล้วคลานโงนเงนขึ้นมาท่ามกลางซากศพมหาศาลรอบๆ
จากนั้นก็ใช้ทั้งมือทั้งเท้า คลานไปทางแท่นบูชาที่โครงกระดูกเซียนอยู่
ท่าทางของมันนอกจากค่อนข้างจะโงนเงนในทีแรกแล้ว ภายหลังทุกอย่างก็เป็นปกติ ฉายความชำนาญเป็นอย่างยิ่งออกมา ไม่มีความเก้ๆ กังๆ เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งความเร็วยังเร็วขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย
หากเปลี่ยนเป็นในตอนที่เพิ่งได้รับพลังแห่งความตายมา พวกเขาคิดจะควบคุมได้อย่างแม่นยำเช่นนี้ มีความยากที่ไม่น้อยเลย
แต่จากการเตรียมอาหารให้กับครอบครัวนั้น ภายใต้การฝึกฝนคครั้งแล้วครั้งเล่า พลังการควบคุมของทั้งสองคนก็ใกล้ถึงระดับชำนาญถึงขีดสุดอย่างไร้ที่ติแล้ว
ดังนั้นตอนนี้ควบคุมซากศพซากนี้ก็เชี่ยวชาญเป็นอย่างยิ่ง
ไม่นานนัก ซากศพซากนั้นปีนไปบนแท่นบูชา มาถึงยังข้างโครงกระดูกเซียน จากนั้นก็กระโดดขึ้นมา พุ่งชนเข้ากับของวิเศษมหาจักรพรรดิที่ลักษณะเหมือนโล่อันหนึ่งอย่างเต็มแรง
ทางที่พุ่งชนมาเป็นประตูหินที่พวกสวี่ชิงอยู่
แต่ในพริบตาที่กระแทก ในของวิเศษมหาจักรพรรดิมีพลังต่อต้านซากศพซากนี้ส่งเสียงดังบึ้มก็พังทลายกลายเป็นเถ้าธุลี
ของวิเศษชิ้นนี้ยังอยู่ดีไม่เสียหายแม้เพียงน้อยนิด
อีกสามฝ่ายที่เหลือเมินเฉยกับเรื่องนี้
สวี่ชิงและเอ้อร์หนิวต่างสายตาฉายประกายวูบ เสี้ยวขณะต่อมา…ซากศพเจ็ด แปดซากก็กระโดดขึ้นมาพร้อมกัน พุ่งตรงไปที่โล่ พุ่งชนอีกครั้ง
เสียงบึ้มๆ ดังออกมาไม่ขาดสาย ซากศพกลายเป็นเถ้าธุลี

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา