บทที่ 1079 คนคนนั้นเป็นใคร
………………..
เสียงถอนหายใจของวังเซียนคิมหันต์ดังสะท้อนก้องไปในห้วงกาลเวลาอันเดียวดาย
ในศาลเจ้าโบราณแห่งนี้มีเพียงผีเสื้อน้อยตัวนั้นที่ได้ยิน
เพียงแต่นางในตอนนี้ไม่เข้าใจถึงความหมายที่แฝงอยู่ในเสียงถอนหายใจนี้
นางยังคงยึดติดว่าทำไมอาจารย์ของนางจึงบอกว่าตนโง่ ทำไมถึงต้องช่วยไอ้คนที่ตนเกลียดคนนั้นด้วย
แต่กลับไม่สังเกตเห็นความุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวในดวงตาของอาจารย์ตัวเองที่ปรากฏขึ้นวูบแล้วหายลับไป
สวี่ชิงก็ไม่ได้ยินเสียงถอนหายใจนี้เช่นกัน
ตอนนี้เขาที่อยู่ในสถานที่ปิดด่านของหมิงเหยียน จ้องมองดอกผูกงอิงพวกนั้นที่ปลิวกระจายล่องลอยอยู่ในทะเลความรู้สึกในใจ หลังจากเงียบนิ่งไปสามสี่อึดใจ ในใจเขาก็ตัดสินใจเด็ดเดี่ยว
“แปดสูงสุด…”
สวี่ชิงพึมพำ จิตเทพพลันแผ่กระจายออกไป ผสานไปในดอกผูกงอิงเหล่านั้น
เพียงพริบตา จิตใจของสวี่ชิงก็ส่งเสียงดังสะท้าน เหมือนเสียงฟ้าดินในยามบุกเบิกแรกเริ่มฟาดผ่ามาในวิญญาณของเขา
เสียงนี้ทำลายห้วงกาลเวลา เกิดเป็นการชี้นำ นำทางวิญญาณของสวี่ชิงเข้าสู่ดินแดนพลังต้นกำเนิดเซียนพสุธาแดนดินที่เขาเคยไปเยือนมา
นั่นเป็นความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตที่เต็มไปด้วยโคลนเลือดเนื้อผืนหนึ่ง
บนโคลนเศษเนื้อ สิ่งที่เจริญเติบโตบนนั้นก็ยังคงเป็นต้นผูกงอิงขนาดมหึมาต้นนั้น
ตราประทับนับไม่ถ้วนอยู่บนก้าน ทุกตราล้วนแผ่พลังอันน่าหวาดกลัวออกมา หลังจากที่รวมตัวกันก็ทำให้ผูกงอิงต้นนี้อัศจรรย์เหนือคำบรรยาย เป็นเอกลักษณ์โดดเด่น
และข้างล่าง โคลนเศษเนื้อที่มอบสารอาหารให้มันแปรเปลี่ยนมาจากซากร่างของเทพเจ้านับไม่ถ้วน
มอบพลังอันนิรันดร์ให้กับผูกงอิง
ขณะเดียวกัน วิญญาณเทพของเทพเจ้าเหล่านี้ก็ถูกกักขังไว้ที่นี่ คุกเข่าอย่างถูกบังคับ ปากส่งเสียงครวญคร่ำที่ทั้งน่าขนลุกทั้งน่าหวาดกลัว เสียงเทพของเหล่าองค์ท่านยิ่งผลักดันให้ผูกงอิงโคจรได้ดียิ่งขึ้น
นี่ก็คือดินแดนพลังต้นกำเนิดเซียน
เซียนคิมหันต์ทั้งเก้าในตอนนั้นร่วมสร้างขึ้น พลังต้นกำเนิดเซียนที่เกิดขึ้นจากการฝังอาณาจักรแดนเทวะแดนหนึ่ง!
ต่อให้เคยมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งที่สองที่เข้ามาที่นี่ ในใจสวี่ชิงก็ยังคงเกิดระลอกคลื่นอารมณ์ สายตาจับไปบนผูกงอิง
มันกำลังบาน ปล่อยเมล็ดปุกปุยนับไม่ถ้วนออกไป ล่องลอยไม่ขาดสาย ไกลออกไปเรื่อยๆ
ขณะเดียวกันก็ย้อนกลับคืนมา ผสานไปในผูกงอิง ถูกมันดูดซับ แปรสภาพ แล้วปล่อยออกไปอีกครั้ง
กลายเป็นวัฏจักร
จ้องมองภาพเหล่านี้ จิตใจของสวี่ชิงในเสี้ยวขณะต่อมาก็ผสานไปข้างใน
ที่ตรงนั้น จิตเทพมากมายของเขาพลันแผ่ออกกลายเป็นแสนกลุ่ม ล้านกลุ่ม จนถึงสิบล้านกลุ่ม ไล่ตามเมล็ดทั้งหมดไป ปกคลุมมิติ ปกคลุมท้องฟ้าดารา ปกคลุมมรดกทั้งหมด
วิชาเต๋านับไม้ถ้วนปรากฏต่อหน้าเขา เงาร่างรางเลือนมากมายเดินออกมาจากในการรับรู้ของเขา
พวกเขากำลังฝึกซ้อม กำลังฝึกฝน
เวลาอยู่ที่นี่คล้ายว่าไร้ซึ่งหน้าที่ มิติ ณ ที่นี่ก็สูญเสียซึ่งตำแหน่งเช่นกัน
สิ่งเดียวที่มีอยู่คือบันทึกมรดกที่ไร้ขอบเขตไม่มีที่สิ้นสุดนั่น
เหมือนเป็นห้องสมุดที่กว้างใหญ่ไพศาล
จ้องมองสิ่งเหล่านี้ สัมผัสรับรู้ซึ่งทุกสิ่ง ในวิญญาณของสวี่ชิงท่องคำว่าแปดสูงสุดสองคำนี้ขึ้นมา
แทบจะในพริบตาเดียวกับที่จิตเทพส่งออกมา ในดินแดนพลังต้นกำเนิดเซียน มรดกที่ไร้ขอบเขตนี้พลันรางเลือน มีเพียงเมล็ดสามเมล็ดที่อยู่ในส่วนที่ลึกมาก งอกขึ้นมาช้าๆ
“นี่คือภาพมรดกสามวิถีแปดสูงสุด”
“เวลาของเจ้าพอแค่สัมผัสรับรู้ได้สองเมล็ดเท่านั้น”
“จะตัดสินใจเลือกอย่างไร ข้าไม่อาจช่วยเจ้าได้”
ทันทีที่สวี่ชิงมองไปทางเมล็ดพันธุ์ทั้งสามเมล็ดนี้ เสียงผ่านห้วงกาลเวลามาอย่างเนิ่นนานของเจ้าวังเซียนคิมหันต์ ก็ดังสะท้อนก้องมาในดินแดนพลังต้นกำเนิดเซียนแห่งนี้
สวี่ชิงเงียบนิ่ง สายตาจับจ้องไป
เมล็ดแรก มองเห็นเงาร่างหนึ่งรางๆ คล้ายว่ากำลังนั่งสมาธิสัมผัสรับรู้อยู่
เมล็ดที่สองเป็นเงาร่างสองร่าง ต่างมองซึ่งกันและกัน แต่หน้าตารางเลือน
ส่วนเมล็ดที่สามเป็นเงาร่างสามร่าง คล้ายว่ากำลังถ่ายทอดมรดก
โอกาสมีเพียงสองครั้งเท่านั้น
เลือก…
สวี่ชิงหลังจากกวาดสายตาทั้งหมดแล้ว สายตาก็จับไปยังเมล็ดที่สองก่อน สีหน้าเด็ดขาด
เหตุที่เลือกเมล็ดที่สองก็เพราะเขาสังเกตได้เลาๆ ว่า เงาร่างสองร่างในเมล็ดที่สองแม้จะรางเลือน แต่ก็มีความรู้สึกเหมือนต้นกำเนิดเดียวกันอยู่รางๆ
“ร่างแยกกับร่างจริงอย่างนั้นหรือ”
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด เพียงก้าวเดียว ก็ส่งจิตเทพของตัวเองโหมบ่าเข้าไปในเมล็ดผูกองอิงเมล็ดที่สอง
เสี้ยวขณะต่อมา ฟ้าดินคำรามลั่น
ภาพที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของพสุธาแดนดินปรากฏขึ้นในสายตาของสวี่ชิง
ในภาพเป็นแผ่นดินใหญ่ที่ไม่เคยคุ้นแห่งหนึ่ง สิ่งที่เห็นในสายตาของสวี่ชิงคือ แผ่นดินใหญ่แห่งนี้ไม่อาจเปรียบเทียบกับแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ได้ แต่ก็มีลักษณะพิเศษบางอย่าง
ใต้แผ่นดินผนึกอสูรร้ายเอาไว้มากมาย
เหมือนใช้อสูรร้ายเหล่านี้มาเป็นพลังโคจรขับเคลื่อนแผ่นดินใหญ่ผืนนี้
และจุดสำคัญที่สวี่ชิงสังเกตได้คือพระราชนิเวศน์แห่งหนึ่งบนแผ่นดินใหญ่แห่งนี้
ม่านฟ้าในนั้นคล้ายว่าตัดขาดจากทั้งแปดทิศ เป็นเอกเทศแยกมา
ราตรีและรุ่งอรุณกำลังสลับเปลี่ยนแทนที่ซึ่งกันและกัน!
ในยามที่สวี่ชิงก้มมองลงไป เสียงพึมพำเบาๆ ก็ดังออกมาจากในราชนิเวศน์แห่งนั้น
เสียงนี้ไม่ธรรมดา สั่นสะเทือนฟ้าดินแหลกละเอียด ทำให้อักขระแต่ละตัวๆ ส่องประกายวูบวาบปรากฏขึ้้นมา
ดวงตาทั้งสองของสวี่ชิงจับจ้อง มองออกว่าอักขระเหล่านั้นล้วนแฝงไว้ด้วยพลังต้นกำเนิด
“เป็นพันธนาการ”
สวี่ชิงพึมพำ เกิดความสนใจขึ้นมา คิดจะมองคนที่ฝึกฝนในราชนิเวศน์สักหน่อย แต่กลับถูกขัดขวาง
สิ่งที่ขัดขวางไม่ใช่อีกฝ่าย ทว่าเป็นพลังของผูกงอิง
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด รู้ดีว่าตัวเองเป็นเพียงผู้เฝ้ามอง ทำได้เพียงมองภาพที่ปรากฏขึ้นในครรลองสายตาเท่านั้น ไม่อาจมองได้ทะลุ
เช่นนี้เอง เวลาค่อยๆ ไหลไป อักขระพันธนาการบนม่านฟ้าราชนิเวศน์มาขึ้นเรื่อนๆ แต่กลับมีสัญญาณไม่เสถียร เริ่มแตกสลาย
และในตอนนี้เอง เสียงพุ่งกรีดหวีดมาอย่างรวดเร็วก็ดังออกมาจากในราชนิเวศน์ จากนั้นสายรุ้งยาวห้าทางก็พุ่งขึ้นมาจากราชนิเวศน์พร้อมกับเสียง
แม้สิ่งที่สวี่ชิงเห็นจะรางเลือนเช่นเดิม แต่ทันทีที่เงาร่างทั้งห้าปรากฏ เขาก็สัมผัสได้ถึง…พลังห้าธาตุที่แฝงอยู่ในนั้นทันที
“นั่นคือทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน”
สวี่ชิงมองตาไม่กะพริบ มองดูต่อไป
เขาเห็นรุ้งยาวทั้งห้าบนม่านฟ้าต่างแผ่ธาตุทั้งห้าอันสูงสุดออกมา จากนั้น…สายรุ้งทั้งห้าก็กลับเป็นหนึ่ง หลอมเป็นร่างแท้ห้าธาตุร่างหนึ่ง
ร่างแท้นี้ยืนอยู่กลางฟ้าดิน สูดลมหายใจครั้งหนึ่ง ร่างก็พลันขยายขึ้น แปรเปลี่ยนเป็นยักษ์สูงพันจั้ง!
ยืนตระหง่านท่ามกลางฟ้าดิน เริ่มทำให้อักขระพลังต้นกำเนิดพันธนาการที่ไม่เสถียรเหล่านั้นให้มั่นคง
เห็นอักขระนับไม่ถ้วนเหล่านี้อยู่ภายใต้การลงมือของมัน ก็ค่อยๆ ทำให้สัญญาณการแตกสลายสงบลง และในตอนนี้เอง เสียงคำรามที่แฝงไว้ด้วยความโหดเหี้ยมก็ดังมาจากส่วนลึกใต้ดิน
กายวิญญาณเหี้ยมเกรียม จากเสียงคำรามก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา