บทที่ 108 หอยโบราณ
เวลาไหลผ่านไปช้าๆ
แสงสายัณห์สีชาดในวันนี้ ฉูดฉาดยิ่งกว่าวันที่ผ่านๆ มา กระทั่งมองนานๆ ยังเกิดความรู้สึกประหลาดที่บรรยายออกมาไม่ได้อีกด้วย เหมือนมีคนกำลังใช้เลือดสดวาดภาพทาฉาบไปทั้งผืนฟ้า เหมือนมีแสงสีทองพันวนอยู่ด้วยรางๆ
ภาพนี้ดึงดูดกระทั่งความสนใจของผู้บำเพ็ญที่พักอยู่บนเขายอดเขาลำดับเจ็ดในเมืองเจ็ดเนตรโลหิตอีกด้วย ล้วนเดินออกมาจากที่พักมองไปยังขอบฟ้า สายตาเผยประกายประหลาด
ศิษย์ในท่าเรือต่างๆ ก็มีไม่น้อยที่สังเกตเห็นทั้งหมดนี้
และสวี่ชิงที่อยู่ในเรือเวทท่าเรือเจ็ดสิบเก้าก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของแสงสายัณห์สีชาดที่ขอบฟ้าเหมือนกัน หลังจากสังเกตไปหลายครั้ง เขาก็รีบอธิบายคำถามที่ศิษย์พี่หญิงติงถามให้จบ แล้วเก็บตั๋ววิญญาณหนึ่งร้อยก้อนหินวิญญาณเข้าไปในถุง จากนั้นก็เงยหน้ามองขอบฟ้าอีกครั้ง
“ภาพนี้ เหมือนเคยเห็นบรรยายไว้ที่ใดกันนะ” สวี่ชิงทบทวนบันทึกท้องสมุทรในความทรงจำต่อที่ตนเองอ่านมา ค้นหาในแหล่งที่คุ้นเคยส่วนนั้น
และแสงสายัณห์สีชาดก็คงอยู่ไม่นานนัก ค่อยๆ สลายหายไป ราวกับมันคิดจะใช้ความงามของตนเองรั้งตะวันยามเย็นไว้ แต่ดวงตะวันก็ยังคงร่วงหล่น เมื่อศิษย์พี่หญิงติงเห็นว่าฟ้ากำลังจะมืด จึงทำได้เพียงบอกลา
แต่ก่อนหน้าที่จะจากไป ศิษย์พี่หญิงติงก็พิจารณาตัวสวี่ชิงอย่างละเอียดหลายครั้ง จู่ๆ สายตาก็แข็งค้าง ก่อนหน้านี้นางไม่ทันสังเกตพลังบำเพ็ญของสวี่ชิง แต่หลังจากที่สังเกตตอนนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไป เอ่ยขึ้นมาทันทีว่า
“ศิษย์น้องสวี่ พลังบำเพ็ญของเจ้า…เจ้าไปถึงขั้นบริบูรณ์แล้วหรือ” ใบหน้าศิษย์พี่หญิงติงเผยความไม่อยากเชื่อออกมา
แม้สวี่ชิงจะพยายามเก็บงำอยู่บ้าง แต่วิชาที่ติงเสวี่ยฝึกบำเพ็ญมานั้นแตกต่างออกไปเล็กน้อย เหมือนจะสามารถสังเกตพลังวิญญาณของผู้อื่นได้อย่างชัดเจน ดังนั้นตอนนี้หลังจากสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังบำเพ็ญของสวี่ชิง จิตวิญญาณของนางก็เกิดคลื่นยักษ์โถมขึ้น
นางรู้ว่าสวี่ชิงแข็งแกร่งมาก แต่ประสาทสัมผัสเวลานี้เกินกว่าที่นางคาดคะเนไว้ แสงในดวงตาจึงยิ่งเปล่งประกาย
“ในเมื่อศิษย์น้องสวี่จะไปถึงระดับสร้างฐานแล้ว เช่นนั้นเจ้าเข้าใจระดับสร้างฐานแล้วหรือไม่”
สวี่ชิงชำเลืองมองศิษย์พี่หญิงติงผาดหนึ่ง ระแวดระวังขึ้นมาเมื่อถูกมองพลังบำเพ็ญออก พอส่ายศีรษะ เขาก็กระตุ้นเกราะคุ้มกันเรือเวทขึ้นมาด้วยสัญชาตญาณ ทำให้มันมีประกายเพิ่มขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งอย่างไร้ซุ่มเสียง
“ข้าเข้าใจอยู่นะ” ใบหน้าศิษย์พี่หญิงติงมีรอยยิ้ม สีหน้ามีความเบิกบาน
“เรื่องเหล่านี้ น้าของข้าไม่รู้เล่าให้ข้าฟังกี่รอบแล้ว” พูดพลาง ติงเสวี่ยก็ล้วงแผ่นหยกสามชิ้นออกมาจากในถุง ยื่นให้สวี่ชิง
สวี่ชิงตกตะลึง เขารู้ว่าเรื่องเกี่ยวกับระดับสร้างฐานนั้นมีมูลค่าแพงมากในสำนัก ตอนนี้พอเห็นแผ่นหยกสามชิ้นตรงหน้า เขาแม้จะหวั่นไหวมาก แต่ก็เข้าใจว่าบนโลกนี้ทั้งหมดไม่มีอะไรที่ได้มาเฉยๆ โดยไม่ต้องตอบแทน ในทางคุณสมบัติล้วนเป็นการแลกเปลี่ยนทั้งสิ้น
“ต้องใช้หินวิญญาณเท่าไร” สวี่ชิงถามออกไป
ติงเสวี่ยพอได้ยินก็คลี่ยิ้ม
“ศิษย์น้องสวี่เห็นเป็นคนอื่นไกลไปได้ ตอนนั้นถ้าในทะเลไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าคงจะไปยังหมู่เกาะปะการังตะวันตกได้ไม่ราบรื่นแล้ว เห็นแก่ประสบการณ์ในท้องทะเลร่วมกันของพวกเรา ของแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด
“ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังสอนความรู้เรื่องยาสมุนไพรให้ข้าตั้งมากมาย นอกจากนี้ด้วยพลังบำเพ็ญของเจ้าถ้าเป็นศิษย์หลักคนอื่นก็คงจะมาสานสัมพันธ์ด้วยเหมือนกัน ข้าก็แค่มาก่อนเท่านั้น ถ้าเจ้ารับไปแล้วรู้สึกไม่สบายใจ เช่นนั้นคราวหลังถ้าวันหนึ่งข้าเจอเข้ากับอันตราย เจ้าก็มาช่วยข้าสักครั้งก็พอแล้ว” พูดพลาง ศิษย์พี่หญิงติงก็วางแผ่นหยกไว้ข้างๆ
นางยิ้มให้กับสวี่ชิง ไม่รบกวนต่อ
“อันที่จริงข้าก็ยังเอาเปรียบเจ้าอยู่ ศิษย์น้องสวี่ ข้าขอตัวก่อนนะ”
พูดจบ ศิษย์พี่หญิงติงก็ร่างไหววูบ หลังจากที่สวี่ชิงเปิดเกราะคุ้มกันออกก็เดินออกจากเรือเวท
ตอนเหยียบขึ้นบนฝั่ง จิตใจของนางก็อิ่มเอมมาก เวลานี้อยากจะรีบแบ่งปัน จึงเดินไปพลางล้วงแผ่นหยกสื่อเสียงออกมาด้วย จากนั้นก็เริ่มสนทนากับเพื่อนหญิงในสำนักอีกหลายคนอย่างเบิกบานใจ
แตกต่างจากเพศชาย ความอยากจะแบ่งปันของเพศหญิงล้วนรุนแรงกว่ามาก โดยเฉพาะเวลาที่เจอกับเพศตรงข้ามที่ทำให้ตาเป็นประกายก็มักเป็นเช่นนี้
จุดนี้ สำหรับคนที่ดิ้นรนอยู่ในความขมขื่นของโลกมนุษย์ถือว่ามีได้ยาก แต่สำหรับศิษย์หลักที่ถูกปกป้องมาตั้งแต่เล็กจนโตแล้วนับเป็นเรื่องปกติ
ดังเช่นความแตกต่างของเหมันต์ฤดูในท่าเรือและในทุ่งสีชาด สิ่งที่โลกประทานให้กับผู้คนก็แตกต่างกันเช่นกัน
อันที่จริงหลังจากที่นางกลับมาก็เอาเรื่องที่เจอสวี่ชิงด้านนอกไปเล่ากับเพื่อนหญิงบ้างแล้ว และการมาครั้งนี้ก็เพราะมีเพื่อนหญิงยุยง จึงมีความกล้าขึ้นมา
“พวกเจ้าคอยดูเถอะ สวี่ชิงคนนี้ ข้าจะเอามาให้ได้เลย”
ตอนที่ศิษย์พี่หญิงติงส่งสื่อเสียงอย่างภูมิใจ ร่างของเจ้าจงเหิงก็ปรากฏตัวขึ้นที่ท่าเรือเจ็ดสิบเก้าไกลๆ รีบตรงเข้ามาหานาง
“ศิษย์พี่หญิงติง…สกุลสวี่คนนั้นไม่ได้ทำอะไรท่านใช่หรือไม่ ข้ามาช่วยท่าน!”
คนยังไม่ทันถึง เสียงก็ส่งมาถึงหูศิษย์พี่หญิงติงแล้ว
“พิลึกคน!”
ติงเสวี่ยขมวดคิ้ว เงยหน้าชำเลืองมองเจ้าจงเหิงผาดหนึ่ง ใบหน้าแฝงความรำคาญ เดินห่างออกไป
เจ้าจงเหิงรีบเดินตามไป แม้ติงเสวี่ยจะไม่สนใจเขา แต่เขาก็ยังตามอยู่ด้านหลัง ในใจเด็ดเดี่ยวอย่างมาก
“ติงเสวี่ย สักวันหนึ่งเจ้าก็จะรู้ ว่าคนมากมายใจชีวิตเจ้าล้วนเป็นแค่นกที่บินผ่านไปเท่านั้น
“มีแต่ข้าเจ้าจงเหิงที่เป็นเหมือนผืนมหาสมุทร คอยติดตามไม่ออกห่างเจ้า และถ้าเจ้าคุ้นเคยกับการติดตามของข้า ก็จะเข้าใจถึงความสำคัญของข้า พวกผู้มาเยือนที่ผ่านไปแล้วอย่างไร ต่อให้จะมีมากอีกแค่เพียงใด ข้า ก็ยังแตกต่างจากพวกมาเยือนที่ผ่านไปเหล่านั้น!”
เจ้าจงเหิงสีหน้าหนักแน่น หันหน้ามองเรือเวทที่สวี่ชิงอยู่ ความริษยาในใจแรงกล้า แต่เมื่อนึกถึงความแข็งแกร่งของพลังบำเพ็ญของอีกฝ่ายรวมถึงความน่ากลัวของนายกองหก เขาจึงไม่กล้าเผยอารมณ์นี้ออกมาทั้งหมด เพียงแค่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจเท่านั้น
“ก็แค่หน้าตาดีหน่อยไม่ใช่หรือ เมื่อเทียบกับลูกตื๊อของข้าแล้วจะสู้อะไรได้ เวลาจะพิสูจน์ทุกสิ่ง!”
คลื่นอารมณ์ต่างๆ ในใจเจ้าจงเหิง สลายหายไปตามแสงสายัณห์สีชาดบนท้องฟ้า ดวงตะวันตกไปแล้ว ผืนทะเลที่มืดมิดตามแสงที่หายไป ในพริบตาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาดขึ้น
แสงงามตานับไม่ถ้วนเจิดจ้าขึ้นฉับพลันในทะเลนอกท่าเรือ ราวกับส่องสว่างไปทั้งท้องฟ้า ความงดงามจับตายิ่งเด่นชัด ดึงความสนใจของท่าเรือทั้งหมดในเจ็ดเนตรโลหิต
มีเสียงฮือฮาค่อยๆ ดังออกมา ร่างเงามากมายเดินออกมาจากในเรือเวทของแต่ละท่าเรือ กระทั่งบนฝั่งเองหลังจากที่มีคนมากมายเห็นภาพนี้ ก็มองออกไปอย่างรวดเร็ว
นอกอ่าวท่าเรือเจ็ดเนตรโลหิตเวลานี้ เพียงไม่นานก็กลายเป็นลำแสงไหลไปตามผืนทะเลเป็นสายๆ จากการปรากฏขึ้นของแสงงามตาอย่างรวดเร็ว แต่ละสายแหวกว่ายต่อเนื่อง ค่อยๆ ก่อตัวเป็นกลุ่มเป็นผืนมากมายเต็มไปหมด
มองออกไป เหมือนลำแสงเหล่านี้แผ่ซ่านไปทั่วทั้งผืนทะเลนอกอ่าว ราวกับกลายเป็นผืนฟ้าที่มีดาวหางหลายดวงวาดผ่าน
และในแสงเจิดจ้านี้ ลำแสงนับไม่ถ้วนผืนนี้ก็สาดผ่านประตูใหญ่ของอ่าว แผ่ไปทั่วท่าเรือทั้งหมด
ภาพนี้ ยิ่งพาดผ่านก็ทำให้ผู้บำเพ็ญในเจ็ดเนตรโลหิตตกตะลึง ดวงตาสวี่ชิงเกิดประกายประหลาด ยืนอยู่บนเรือเวทแล้วมองไป
เขาสังเกตเห็นว่าสิ่งที่แผ่ลำแสงออกมาเหล่านั้น เป็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างหอยขนาดเท่าฝ่ามือ
ร่างกายที่แผ่ขยายของพวกมันเหมือนจะมีเส้นประสาทที่สามารถเป็นต้นกำเนิดแสง และส่องสว่างก่อกันเป็นภาพที่สวยงามจับตา
“หอยโบราณ…”
สวี่ชิงคิดถึงสิ่งที่บรรยายไว้ในบันทึกท้องสมุทร ดวงตาเป็นประกายขึ้นมา
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา