บทที่ 1091 โลกที่ไม่รู้จัก [ภาค 12 เหมันต์ย่างกราย]
ฟ้าดินหมุนคว้าง ไม่อาจแบ่งแยกฟ้าดินได้
มิติคล้ายว่าไร้สิ้นสุด เสี้ยวขณะต่อมากลับเล็กจิ๋วสุดประมาณ
กาลเวลาดุจลากยาวออกไป ชั่วขณะต่อมาต่อมากลับวูบไหวเสี้ยวพริบตา
พวกมันหลอมรวมเข้าด้วยกัน ก่อเกิดเป็นคลื่นวนขนาดมหึมาและลึกหยั่งไม่ถึง กลืนกินเจดีย์แสงดาวที่สวี่ชิงอยู่เข้าไป
พลังอันน่าหวาดหวั่นปะทุขึ้นข้างใน ก่อเกิดเป็นแรงดึงดูดอันทรงพลัง เหนือกว่าพายุใดๆ บดขยี้ทุกสิ่ง ทำลายล้างทุกอย่าง
ซัดไปบนเจดีย์แสงดาว ยิ่งส่งผลต่อตัวเจดีย์แสงดาวเองตลอดจนเส้นทางที่จะเคลื่อนไปข้างหน้า
เมื่อเทียบกันแล้ว เจดีย์แสงดาวก็เปรียบดุจเรือโดดเดี่ยวในคลื่นคลั่ง ยากจะทานทน
เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น ด้านนอกเจดีย์แสงดาว ชั้นที่จางซานเพิ่มเข้ามาภายหลังสามสี่ชั้นนั่นก็พังทลายแตกละเอียด ระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับไม่ถ้วน แตกกระจัดกระจายไปทั่ว
เศษชิ้นส่วนเหล่านั้นถูกแรงดึงดูดทำให้แตกละเอียดอีกครั้ง กลายเป็นเถ้าธุลี สุดท้ายก็สลายหายไปในคลื่นวนแห่งกาลเวลาและมิติ
เหลือเพียงซากเจดีย์ที่หลังจากสูญเสียการปรับแต่งเพิ่มเติมขึ้นในภายหลังไปแล้วเผยสภาพดั้งเดิมแท้จริงออกมาเท่านั้น มันไม่ได้ถูกทำลายไปในคลื่นวนลูกนี้ กำลังหมุนวนอย่างรวดเร็วอยู่ภายใต้พลังของคลื่นวนลูกนี้
ซากเจดีย์กำลังหมุน ขณะเดียวกันก็จากการหมุนวนตามแรงดึงดูดของคลื่นวน ก็ก่อเกิดเป็นความรู้สึกปั่นป่วนอลหม่าน
กระทั่งว่าหากพินิจดูอย่างละเอียด จะเห็นได้ว่าความเร็วในการหมุนของซากเจดีย์ เร็วกว่าความเร็วในการหมุนของคลื่นวนมากนัก
นี่เป็นผลจากความแตกต่างระหว่างส่วนประกอบของทั้งสอง
และความเร็วในการหมุนที่แตกต่างกันนี้ ก็ก่อให้เกิดแรงฉุดกระชากอันน่าหวาดกลัว ทำให้สวี่ชิงที่อยู่ภายในเจดีย์แสงดาว สัมผัสได้ถึงแรงกระแทกอันรุนแรงสุดขีด
ตัวเขาที่อยู่ภายในเจดีย์ แม้จะนั่งขัดสมาธิ แต่ร่างกายก็ลอยขึ้นแล้ว และหมุนวนด้วย
ไม่อาจควบคุมได้เลย
อีกทั้งยังไม่สอดคล้องกับความเร็วในการหมุนของเจดีย์ที่ตนอยู่ หมุนเร็วกว่าเล็กน้อย
ดังนั้นในเสี้ยวขณะนี้ พูดให้ถูกต้องคือ คลื่นวน ซากเจดีย์ และสวี่ชิง ล้วนกำลังหมุน อีกทั้งต่างแตกต่างกันไป
แรงฉุดกระชากที่เกิดขึ้นเช่นนี้ ย่อมรุนแรงถึงขีดสุด
ร่างกายของสวี่ชิงสั่นสะท้าน ราวว่าจะฉีกขาด
และสิ่งที่ทำให้เขาเจ็บปวดทุกข์ทนยิ่งกว่า มาจากวิญญาณ
ยากจะพรรณนาการรับรู้ที่ชัดเจนในตอนนี้ เขารู้สึกเพียงว่าทุกสิ่งที่สัมผัสรับรู้ได้นั้น ล้วนชัดเจนในอึดใจก่อน แต่กลับพร่าเลือนในอึดใจถัดไป กระทั่งว่าแม้แต่สีสันภายใต้การสำรวจจากจิตเทพก็เป็นเช่นเดียวกัน
ประเดี๋ยวสองสี ประเดี๋ยวเก้าสี ประเดี๋ยวไร้สี ประเดี๋ยววุ่นวายปั่นป่วน
นี่คือภาพแต่ละภาพๆ ที่ปรากฏขึ้นในสมองของสวี่ชิงตอนนี้
ส่วนดวงตาทั้งสองข้างของเขา ไม่ได้ลืมขึ้น
นั่นคือสิ่งที่เจ้าวังเซียนคิมหันต์เคยเตือนไว้ ในตอนที่สวี่ชิงสอบถามถึงวิธีการเดินทางผ่านห้วงสมุทรบรรพกาลในตอนนั้น
ในระหว่างการเดินทาง เนื่องจากพลังบำเพ็ญของสวี่ชิงยังไม่เพียงพอ จึงได้รับการเตือนว่าห้ามลืมตาโดยเด็ดขาด
ดังนั้นดวงตาของสวี่ชิงจึงปิดสนิทอยู่ตลอดเวลา
และกระบวนการเดินทางนี้ดำเนินไปอย่างยาวนานยิ่งนัก ราวกับว่าเส้นทางที่เคลื่อนไปข้างหน้านี้คือหุบเหวลึกที่ไร้จุดสิ้นสุด
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ความเจ็บปวดที่สวี่ชิงแบกรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กายเนื้อของเขาใกล้จะรับรู้ความเจ็บปวดไม่ได้แล้วเต็มที ราวกับจะไม่ใช่ร่างของตนเองแล้ว
วิญญาณของเขาก็เช่นเดียวกัน ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของการรับรู้นี้ ก็ตกอยู่ในความวุ่นวายปั่นป่วนจนถึงขีดสุด
ความทรมานทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้สวี่ชิงเกิดวิกฤตความเป็นตายอย่างรุนแรง
“เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ คลื่นวน ซากเจดีย์ และข้า ผลลัพธ์สุดท้ายที่เกิดขึ้นจากแรงฉุดกระชากจากความเร็วในการหมุนที่แตกต่างกันนี้ หากไม่ใช่…ซากเจดีย์พังทลาย ก็เป็นกายและจิตของข้าแตกดับ ความเป็นไปได้อย่างหลังมีมากที่สุด”
“และความรู้สึกเช่นนี้ ข้าเคยมีประสบการณ์คล้ายคลึงกันมาก่อน!”
ในเสี้ยวขณะที่ร่างกายฉีกขาด และวิญญาณกำลังจะคลุ้มคลั่ง สวี่ชิงก็กัดลิ้นตนเองอย่างแรง ใช้ความเจ็บปวดที่ปลายลิ้น คิดจะฝืนกระตุ้นตนเอง เพื่อให้จิตใจมั่นคง
ผลลัพธ์กลับไม่ชัดเจนนัก ออกฤทธิ์เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น
แม้จะเป็นเพียงชั่วพริบตาเดียว แต่สวี่ชิงก็ยังอาศัยช่วงเวลาสั้นๆ นี้ หาต้นกำเนิดของประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันในอดีตเจอ
นั่นคือ… ภาพเหตุการณ์ที่ความเป็นมนุษย์ ความเป็นเทพ และความเป็นเดรัจฉานปะทุที่แดนใหญ่เซ่นจันทรา
ในตอนนั้น เขาก็ตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวายเช่นนี้ ไม่อาจหาจุดสมดุลได้ วิญญาณจะแตกสลาย
วิธีแก้ปัญหาสุดท้ายคือ เขาหาสิ่งยึดเหนี่ยวเจอ!
ใช้มันบรรลุความสมดุล สมาธิจดจ่อ
“สิ่งยึดเหนี่ยว… สมดุล…”
ตอนนั้นในความสับสนปั่นป่วนของความเป็นมนุษย์ ความเป็นเทพ และความเป็นเดรัจฉาน สิ่งยึเหนี่ยวของสวี่ชิงคือความยึดติดและความเสียใจต่อดอกลิขิตฟ้า
“เช่นนั้นในตอนนี้…”
หลายอึดใจต่อมา สวี่ชิงตัดสินใจเด็ดขาด ล้มเลิกการปฏิบัติตามคำเตือนของเจ้าวังเซียนคิมหันต์ เนื่องจากหากทำเช่นนี้ต่อไปก็จะตกอยู่ในภาวะที่ถูกกระทำมากเกินไป เป็นตายไม่รู้แน่
เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจึงตัดสินใจควบคุมด้วยตนเอง
ดังนั้นดวงตาของสวี่ชิงในชั่วพริบตานั้น ก็พลันลืมขึ้น
เพียงเสี้ยวขณะที่เปลือกตาเปิดออก เขามองเห็นเจดีย์แสงดาว และยังสัมผัสได้ถึงอาการวิงเวียนที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิม
เจดีย์นี้ ในสายตาของเขา กำลังหมุนวนอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สถานการณ์ที่ตัวเขาเองก็กำลังหมุนอยู่ด้วย ความรู้สึกสับสนปั่นป่วนจึงรุนแรงเป็นที่สุด
ดวงตาทั้งสองของสวี่ชิงมีเส้นเลือดปรากฏ พลังบำเพ็ญภายในร่างปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่อง มือทั้งสองประสานปางมือ สะบัดไปรอบทิศทางไม่หยุด อาศัยพลังบำเพ็ญปรับความเร็วในการหมุนของตนเอง
ในที่สุด ภายใต้การทดลองหลายสิบครั้งของเขา ด้วยค่าตอบแทนจากการกระอักเลือดหลายครั้ง ในที่สุดก็ทำให้ความเร็วในการหมุนของตนเองลดลง ค่อยๆ เท่ากับความเร็วในการหมุนของเจดีย์นี้
ในชั่วพริบตาที่ความเร็วในการหมุนเท่ากัน ความรู้สึกฉีกขาดของวิญญาณและความรู้สึกฉีกทึ้งของกายเนื้อ ในที่สุดก็หายกว่าครึ่ง
เขากับเจดีย์บรรลุจุดสมดุล ด้วยทิศทางและความเร็วในการหมุนที่เหมือนกันทุกประการ กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน
ด้วยวิธีนี้ แรงฉุดกระชากก็ย่อมลดตามลงไปด้วย
นี่คือสิ่งที่สวี่ชิงคิดถึง สิ่งยึดเหนี่ยว!
สวี่ชิงถอนหายใจยาว
“ตัวข้าเองและซากเจดีย์ อีกทั้งคลื่นวนด้านนอก ทั้งสามมีความเร็วและทิศทางในการหมุนเหมือนกันโดยสมบูรณ์ ต่างสมดุล นี่คือสิ่งยึดเหนี่ยว!”
“เช่นนั้นตอนนี้คือการทำให้ข้ากับซากเจดีย์มีความเร็วและทิศทางในการหมุนเท่ากับคลื่นวนด้านนอก”
สวี่ชิงในขณะนี้ไม่กล้าผ่อนคลายแม้แต่น้อย หลังจากวิเคราะห์ในใจแล้ว เขาก็อาศัยการควบคุมเถาวัลย์เทพนี้ ลองพยายามควบคุมซากเจดีย์ทางอ้อม ค่อยๆ ปรับเปลี่ยน
เวลาผ่านไป ไม่รู้ว่านานเท่าใด ในที่สุด ภายใต้การควบคุมอย่างรอบคอบของสวี่ชิง ตัวเขาและซากเจดีย์ที่เขาอยู่ ก็ลดความเร็วในการหมุนลง
ค่อยๆ บรรลุความสมดุลกับความเร็วในการหมุนของคลื่นวน
ในชั่วพริบตาที่สมดุลกัน แม้ทั้งสามส่วนจะเหมือนกำลังหมุนอยู่ แต่เนื่องจากความเร็วและทิศทางในการหมุนเหมือนกัน ดังนั้นในการรับรู้ของสวี่ชิง…ก็ราวว่าตนเองกับซากเจดีย์และคลื่นวนล้วนหยุดนิ่ง
ความรู้สึกหยุดนิ่งนี้ ทันทีที่ปรากฏขึ้นในใจของเขา สวี่ชิงก็มองเห็นโลกภายนอก
เขามองเห็นคลื่นวนอันกว้างใหญ่ไพศาล เห็นเวลาเหมือนจะไหลเวียนอยู่ภายใน
เห็นมิตินับไม่ถ้วนกำลังสับเปลี่ยนหมุนเวียนอยู่ภายใน
กระทั่งว่าเขายังมองเห็นภาพประวัติศาสตร์อันพร่าเลือนแต่ละภาพๆ ปรากฏขึ้นในคลื่นวน มาพร้อมกับภาพแห่งอนาคต สอดประสานภายใน
ในความเลือนราง เขาเหมือนเห็นตนเอง…
แต่ยังไม่ทันจะเห็นชัดเจน กาลเวลาและมิติ ภายใต้พลังของคลื่นวนก็หลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์
เสียงคำรามเลื่อนลั่นดังมาจากคลื่นวน ดังมาจากซากเจดีย์ ดังมาจากในสมองของสวี่ชิง
ในชั่วพริบตาถัดมา ซากเจดีย์และเขาก็หลอมรวมไปในคลื่นวนอย่างสมบูรณ์
หายลับไป
ส่วนทางด้านสวี่ชิง จากเสียงกึกก้องคำรามเลื่อนลั่นในสมอง ทั้งคนก็ไม่อาจควบคุมได้อีก หมดสติสลบไป
อยู่ในระบบดาวที่ไม่รู้จัก ในโลกที่ไม่รู้จัก
แผ่นดินแห้งแล้งเหลืองซีด ปกคลุมไปด้วยรอยแตกกคล้ายใยแมงมุม เป็นเช่นนี้ไปทั่วทุกแห่งหน
ท้องฟ้ามืดมิดทั้งผืน มีดวงตาสามดวงที่แฝงไว้ด้วยความดุร้ายลอยอยู่เบื้องบน จ้องมองผืนแผ่นดิน
โลกใบนี้ไม่มีแสงสว่างมากนัก มีเพียงดวงตาสามดวงนั้นบนม่านฟ้า ประดุจดวงจันทร์ แผ่แสงอ่อนๆ ปกคลุมโลกทั้งใบ
ในขณะที่พร่าเลือนคลุมเครือ ก็ยังคงความเงียบงันราวกับความตาย
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา