บทที่ 1100 ระบบดาวที่ห้า
แสงเรืองรองแห่งขั้วโลกสีแดงดุจแม่น้ำสายยาว หลั่งไหลอยู่บนม่านฟ้า กว้างใหญ่ไพศาล
เนื่องจากแสงมีการไหลเคลื่อนที่ ดังนั้นจึงกระจายลงมาไม่สม่ำเสมอ ครั้นเมื่อสะท้อนทาบไปบนพื้นดินโคลนก็สว่างไสวสลับมืดมิดอยู่เนืองๆ
ไม่ใช่แค่ในเหมืองวิญญาณเท่านั้น ต่อให้เป็นแต่นอกหลุมลึกเหมืองวิญญาณ พื้นดินก็เป็นดินโคลนเป็นหลักเช่นกัน
เรื่องนี้ สวี่ชิงรู้มาจากความทรงจำของผู้ติดตามผู้บำเพ็ญระดับเจ้าเหนือหัวคนนั้น
ที่นี่คือทางใต้ของระบบดาวที่ห้า และอยู่ในพื้นที่รอบนอกที่ห่างไกลกันดาร
เมื่อนานมาแล้ว ที่นี่เคยมีมหาสมุทร
หรือก็คือห้วงสมุทรบรรพกาลของระบบดาวที่ห้า
ทว่าภายหลัง ภายใต้พลังของราชาเซียน ห้วงท้องฟ้าดาราของระบบดาวที่ห้าถูกถมจนราบเรียบ ห้วงสมุทรบรรพกาลที่มีเทพเจ้าจำนวนนับไม่ถ้วนพำนักอาศัยอยู่ก็เป็นเช่นเดียวกัน
ดังนั้น ที่นี่จึงกลายเป็นที่ที่ผู้บำเพ็ญพักอาศัยได้
เพียงแต่ค่อนข้างจะแห้งแล้งกันดารไปเสียหน่อยก็เท่านั้น
แต่ไอพลังประหลาดนั้นไม่มี
ทั่วทั้งระบบดาวที่ห้า เทพเจ้าล้วนถูกสะกดกำราบ ในระดับหนึ่งกล่าวได้ว่าเทพเจ้าถูกห้ามผ่าน
ดังนั้น ไอพลังประหลาดที่เป็นอันตรายต่อผู้บำเพ็ญอันเกิดจากกลิ่นอายของเทพเจ้า ย่อมไม่มีไปตามธรรมชาติ ทว่าภายใต้การหลอมเทพ โดยใช้เทพเจ้าเป็นสารอาหารสกัดพลังชีวิตออกมา เปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณที่ผู้บำเพ็ญสามารถดูดซับได้
ในตอนนี้เมื่อเดินอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน สวี่ชิงรู้สึกถึงสิ่งนี้อย่างแรงกล้า
ขนทั่วทั้งตัวของเขาแผ่ออก ร่างกายดูดซับพลังวิญญาณจากฟ้าดินโดยสัญชาตญาณ ราวกับผืนดินที่แห้งแล้งที่รอคอยสายฝนในฤดูใบไม้ผลิ
และพลังวิญญาณแผ่ซ่านไม่สิ้นสุด แม้ระดับจะสู้เหมืองวิญญาณไม่ได้ แต่ก็ยังคงเข้มข้นมาก
“สภาพแวดล้อมแบบนี้ บนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์นั้นไม่มี”
สวี่ชิงพึมพำ ภายใต้การดูดซับพลังวิญญาณไปโดยสัญชาตญาณ จิตเทพของเขาก็แผ่ออกไป ในขณะเดียวกับที่สัมผัสรับรู้ฟ้าดิน ก็สัมผัสรับรู้กฎเกณฑ์และกฎระเบียบของที่นี่ด้วย
นี่คือความสามารถอันเป็นเฉพาะของผู้บำเพ็ญระดับเตรียมสู่เทวะ
ผ่านจากกฎเกณฑ์และกฎระเบียบของที่นี่ไปสัมผัสรับรู้โลกใบนี้ในทางอ้อม
ในจิตเทพของเขา โลกมีเส้นไหมกึ่งโปร่งใสปรากฏขึ้น เส้นไหมเหล่านี้เชื่อมต่อสรรพสิ่งทั้งหมด ทุกเส้นคือกฎเกณฑ์และกฎระเบียบวิถีหนึ่ง
เมื่อพลังบำเพ็ญถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็จะสามารถทำให้มันสั่นสะเทือน ควบคุมมันได้
และภายใต้จิตเทพของสวี่ชิง สิ่งที่เขาสำรวจเป็นพิเศษคือต้นกำเนิดของเส้นไหมกฎเกณฑ์และกฎระเบียบเหล่านี้…
และในไม่ช้า สีหน้าของสวี่ชิงก็ฉายแววครุ่นคิด ขณะเดียวกันความระมัดระวังในใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
เพราะในกระบวนการสัมผัสรับรู้โลก เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าในฟ้าดินอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ ณ ต้นกำเนิดของกฎเกณฑ์และกฎระเบียบเหล่านั้น มีเจตจำนงอันยิ่งใหญ่ทรงพลังมากมาย
“ต้นกำเนิดของกฎเกณฑ์และกฎระเบียบจำนวนมากถูกยึดครองไปแล้ว”
สวี่ชิงเก็บจิตเทพคืนมา เงยหน้ามองฟ้า
สำหรับเจตจำนงอันแข็งแกร่งเหล่านั้น เขาไม่ได้สืบสำรวจในทันที แต่ใช้กฎเกณฑ์และกฎระเบียบสัมผัสรับรู้ทางอ้อม
การทำเช่นนี้ ไม่เป็นการล่วงเกิน
“นอกจากนี้ กฎเกณฑ์และกฎระเบียบของโลกนี้ดูเหมือนจะมีระเบียบ แต่ภายใต้ระเบียบนั้น กลับมีฉายความปั่นป่วนอลหม่านที่ไม่อาจอธิบายได้กลุ่มหนึ่งออกมา…”
สวี่ชิงครุ่นคิด มองไปรอบทิศ
ผ่านการตอบสนองของกฎเกณฑ์และกฎระเบียบแห่งโลก เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเลือดและการสังหารฆ่าฟัน
“ดูเหมือนว่าที่นี่ไม่เพียงแต่จะเป็นสถานที่ที่ปลาใหญ่กินปลาเล็กเหมือนกันเท่านั้น แต่ระดับความรุนแรงอาจจะยิ่งกว่าอีก”
สวี่ชิงพึมพำ
และความรู้สึกเช่นนี้ของเขา ในหนึ่งวันให้หลังได้รับการยืนยัน
ฝ่ายหนึ่งคือกองคาราวานขนาดใหญ่ที่อยู่บนท้องฟ้า
จำนวนคนมีมากมายหลายพันคน พวกเขาใช้อสูรยักษ์คล้ายแรดจำนวนมากมายเป็นพาหนะ บรรทุกสินค้าบางอย่างที่สวี่ชิงไม่รู้จัก แต่เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถเก็บเข้าถุงเก็บของได้ ขนส่งอยู่บนม่านฟ้า
จากกลิ่นอายรอบๆ สามารถวิเคราะห์ได้ว่ามีผู้แข็งแกร่งคอยคุ้มครองและล้อมรอบอยู่ทั้งภายในและภายนอก
กองคาราวานเช่นนี้ พลังย่อมที่ไม่ธรรมดา ในความคิดของสวี่ชิงน่าจะมีน้อยคนที่จะกล้าหาเรื่อง
ทว่าการสังหารก็ยังคงเกิดขึ้น
ฝ่ายที่ทำการสังหาร ได้พุ่งออกมาเป็นพันเป็นหมื่นคนจากการที่ฟ้าดินจู่ๆ ก็คำรามเลื่อนลั่น ราวกับกองโจรพุ่งเข้าสังหารกองคาราวานนี้
โหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง ล้มตายเป็นจำนวนมาก เสียงกรีดร้องของผู้บำเพ็ญ และเสียงคำรามของอสูรยักษ์ ดังก้องไม่หยุด
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว
และในการสังหารครั้งนี้ กระทั่งว่ามีสิ่งมีชีวิตประเภทเทพมากมายที่ถูกควบคุมเป็นทาสปรากฏตัวขึ้นด้วย
สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ สุดท้ายในกองคาราวานก็ได้ส่งเทพเจ้าออกมา
นั่นเป็นดวงตาขนาดมหึมาที่ถูกพันธนาการราวกับทาส
ดวงตานี้เดิมมีรยางค์จำนวนมาก แต่ในตอนนี้รยางค์เหล่านั้นส่วนใหญ่ถูกตัดขาด ในดวงตามีผนึกมากมาย
นี่คือเทพเจ้าระดับเพลิงเทวะองค์หนึ่ง
องค์ท่านดูเหมือนว่าจะกลายเป็นไพ่ตาย ในการสังหารครั้งนี้ราวกับเครื่องมือชิ้นหนึ่ง
ส่วนผลลัพธ์สุดท้ายของการต่อสู้ครั้งนี้ สวี่ชิงไม่รู้
เขายืนอยู่สุดขอบฟ้า ทอดสายตามองดูทุกอย่างนี้ ในยามที่สัมผัสได้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างมีจิตเทพทางหนึ่งแผ่ออกมาทางตนเอง สวี่ชิงก็เลือกที่จะจากไป
การสังหารครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา เขาย่อมไม่คิดที่จะเข้าไปเกี่ยวพันด้วย
และการจากไปของเขาในตอนแรกนั้นไม่ราบรื่น จิตเทพทั้งสองทางนั้นประชิดเข้าใกล้มาอย่างแข็งแกร่ง ต่างมาพร้อมด้วย จิตปฏิปักษ์ แต่ในชั่วพริบตาที่เข้าใกล้สวี่ชิง ในดวงตาของสวี่ชิงประกายแสงเย็นเยียบฉายวูบ แผ่จิตเทพของตนเองออกไปอย่างรุนแรงโดยไม่เกรงใจ
บางครั้ง หากต้องการหลีกเลี่ยงปัญหา เช่นนั้นก็อย่าได้เลือกที่จะถ่อมตัวเกินไป
ทำให้ผู้อื่นรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องกันง่ายๆ ถึงจะเป็นวิธีการหลีกเลี่ยงปัญหาที่ดีที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นที่นี่ หรือแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ต่างเป็นเช่นเดียวกัน
เสี้ยวพริบตาต่อไป จิตเทพต่างปะทะกันอย่างไร้รูปร่าง
บนท้องฟ้า สายฟ้าแลบแปลบปลาบทันที สีสันหลากหลาย กฎเกณฑ์และกฎระเบียบปรากฏขึ้น ท่ามกลางเสียงกึกก้องกระทั่งว่าสภาพอากาศก็เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง
พายุหิมะ ฝนห่าใหญ่ต่างตกลงมาพร้อมกัน
จากนั้น…จิตเทพทั้งสองทางก็หดกลับ เห็นได้ชัดว่ามีความเกรงกลัว ไม่ขัดขวางอีกต่อไป
ส่วนสวี่ชิงก็สีหน้าเรียบเฉย ก้าวเดินจากไป
เรื่องทำนองนี้ ในหลายวันต่อมา สวี่ชิงพบเจออีกสามครั้ง
การสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้สวี่ชิงสัมผัสได้ถึงความรุนแรงและการสังหารของโลกนี้ได้มากขึ้น
“เหมือนกับการเลี้ยงกู่อย่างนั้นหรือ”
“ใช้ทั้งระบบดาวที่ห้าเป็นสนาม เพื่อเพาะเลี้ยงผู้แข็งแกร่งที่เดินออกมาจากภูเขาศพทะเลเลือด”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา