บทที่ 116 เสวี่ยเลี่ยนจื่อที่หิวโหย
ทั้งในและนอกแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ไม่ว่าจะในแต่ละเกาะหรือว่าพื้นที่ต้องห้ามที่มีอยู่นับไม่ถ้วนก็ล้วนมีชนเผ่าประหลาดอยู่มากมาย
เผ่าสิงซากสมุทร คือหนึ่งในนั้น
สถานที่ที่เผ่านี้อยู่คือชายขอบพื้นที่ต้องห้ามในท้องทะเลโอฬาร เดิมทีก่อนหน้าที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้าจะมาเยือนหลายยุคหลายสมัย บนโลกใบนี้ไม่มีเผ่าสิงซากสมุทรอยู่
แต่การมาเยือนของเทพเจ้า การรุกรานของกลิ่นอายได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของสรรพชีวิต มีทั้งเผ่าในประวัติศาสตร์ที่หายไป มีทั้งเผ่าที่ดิ้นรนเพื่อดำรงอยู่ต่อ ขณะเดียวกันเองก็มีเผ่าใหม่ถือกำเนิดขึ้นมาด้วย
บรรดาเผ่าที่กำเนิดใหม่เหล่านี้ หนึ่งในนั้นก็คือเผ่าสิงซากสมุทร
เผ่านี้แปลกประหลาดมาก สามารถดูดรับไอพลังประหลาดเพื่อดำรงชีพ ไม่มีความสามารถในการสืบพันธุ์ ความยิ่งใหญ่กับการเพิ่มจำนวนประชากรของพวกเขาคือพึ่งพาวิธีการพิเศษ
นั่นก็คือ…การแปรสภาพ
นำร่างที่ตายแล้วของเผ่าต่างๆ ใช้วิธีพิเศษของเผ่าสิงซากสมุทรทำเครื่องหมายเพื่อฟื้นคืนชีพ!
และศพที่ฟื้นคืนชีพหลังถูกทำเครื่องหมาย ความทรงจำก่อนหน้าขณะมีชีวิตจะขาดห้วง เหมือนกับเปลี่ยนเป็นอีกคน นิสัยใจคอก็จะดุร้ายป่าเถื่อนมาก โหดร้ายและอาฆาตพยาบาท ทั้งร่างกายจะแผ่ไอพลังประหลาดเข้มข้นออกมา ในขณะที่โลกไม่ยอมรับ ในหัวสมองก็จะมีเสียงเรียกอัญเชิญของเผ่าสิงซากสมุทรดังก้องอยู่ด้วย
การอัญเชิญนี้ชี้นำให้พวกเขาตรงไปยังดินแดนเผ่าสิงซากสมุทร กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของเผ่า และไปฝึกฝนวิชาเฉพาะของเผ่าสิงซากสมุทร สิ่งนี้จะทำให้พวกเขาค่อยๆ ฟื้นฟูสติปัญญากลับมา และรักษาความแข็งแกร่งต่อไป
แต่ความพิเศษของเผ่านี้ทำให้พวกเขายิ่งฝึกบำเพ็ญก็ยิ่งไร้ใจ ไม่สนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
นอกเหนือจากนี้ขณะที่มีชีวิตยิ่งพลังบำเพ็ญสูงเท่าไร หลังจากถูกแปรสภาพพลังต่อสู้ก็จะยิ่งแข็งแกร่ง เพียงแต่การแปรสภาพนั้นมีข้อจำกัดอยู่มากมาย และอัตราความสำเร็จก็ไม่สูงมาก ดังนั้นเผ่านี้จึงไม่ได้เป็นปัญหาร้ายแรงต่อชนเผ่าอื่น และด้วยเหตุผลพิเศษนี้ จึงได้รับอนุญาตให้คงอยู่ต่อไป
และหลายยุคสมัยที่ผ่านมา เผ่าสิงซากสมุทรก็พบว่าศพของผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์เวลาถูกแปรสภาพมีโอกาสสำเร็จสูงกว่า ดังนั้น…แก่นสำคัญของเผ่าสิงซากสมุทรจึงขึ้นอยู่กับเผ่ามนุษย์
และเจ็ดเนตรโลหิตก็ตั้งอยู่ในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ซึ่งไม่ห่างจากที่ตั้งของเผ่าสิงซากสมุทรมากนัก ดังนั้นจึงมีความแค้นระหว่างกันและยิ่งดุเดือดขึ้นด้วยเหตุนี้ เมื่อสงครามเว้นไปได้ระยะหนึ่งก็จะปะทุขึ้นใหม่
ตอนนี้ กองทัพใหญ่เผ่าสิงซากสมุทรเข้ามาอย่างยิ่งใหญ่ด้วยเรื่องของเกาะเงือก เวลานี้จระเข้ยักษ์พันจั้งด้านในก็ส่งเสียงคำรามดุร้าย เหยียบอากาศคลานออกมาแล้วครึ่งตัวตามการสลายไปของกระแสวน
ร่างเงามากมายบนศีรษะมันทุกร่างล้วนมีปราณดำปกคลุม สะท้อนให้เห็นถึงไอพลังประหลาดเข้มข้น
รูปร่างของพวกเขาไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนภายใต้การปกคลุมของปราณดำเหล่านี้ เห็นเพียงแต่ดวงตาสีแดงในหมอกดำรวมไปถึงคลื่นพลังบำเพ็ญที่เหมือนไม่ด้อยไปกว่าบรรพจารย์เผ่าเงือกเลย
เมื่อสังเกตเห็นการมาเยือนของเผ่าสิงซากสมุทร บรรพจารย์เผ่าเงือกก็หัวเราะร่าขึ้นมา
“เจิ้งข่ายอี้ ข้าจะรอดู ว่าสำนักเจ้าจะจัดการอย่างไร!”
“เช่นนั้นเจ้าก็ดูเสีย” นายท่านเจ็ดยืนอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าปกติ ล้วงแผ่นหยกดาษดื่นชิ้นหนึ่งออกมา โยนลงไปทางเผ่าสิงซากสมุทรที่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมปราณสังหารกับไอพลังประหลาดไร้เทียมทานรุนแรงเช่นนี้
แผ่นหยกล่องลอยไปเชื่องช้า พอถึงด้านหน้ากองทัพใหญ่เผ่าสิงซากสมุทร และไม่ทันได้สัมผัสกับเผ่าสิงซากสมุทร มันก็แตกหักเอง
พริบตาที่แตกหัก บนท้องฟ้าก็คำรามครืนครันเหมือนมีสายอัสนีนับไม่ถ้วนฟาดผ่าจนทำให้ท้องฟ้าเว้าแหว่ง และมีรอยแตกหลายสายปรากฏขึ้นบนแผ่นฟ้า
รอยแตกเหล่านี้ประดุจงูและมังกรเลื้อยผ่านท้องฟ้าที่บ้าคลั่ง มองไกลๆ เหมือนพู่กันไร้รูปร่างด้ามหนึ่งตวัดวาดผ่านท้องฟ้า
และเพียงไม่นานรอยแยกแต่ละสายก็รวมเข้าด้วยกัน และฉับพลัน…บนท้องฟ้าก็ปรากฏเค้าโครงร่างขนาดยักษ์ขึ้นมา!
เป็นร่างของชายชราคนหนึ่ง!
เหมือนเขาผสานอยู่กับแผ่นฟ้า สีหน้านิ่งเฉย จ้องมองทุกสรรพชีวิตเบื้องล่างเขม็ง
มหาสมุทรกระพือคลื่นโถมแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนใต้สายตาของเขา ในขอบเขตทะเลหมื่นลี้ ตัวตนใต้ท้องทะเลล้วนหลบซ่อนตัว อสูรทะเลทั้งหมดล้วนตัวสั่นงันงก
บรรพจารย์เผ่าเงือกก็กระอักเลือดสดออกมาด้วยการชำเลืองของเขา ในดวงตาเผยความหวาดผวาและพรั่นพรึงขีดสุดขึ้นมาอย่างรุนแรง ร่างกายสั่นระริกไม่หยุด คุกเข่าทิ้งตัวลง
จระเข้ยักษ์ที่คลานออกมาได้ครึ่งตัวส่งเสียงร้องโหยหวนขึ้นทันที ร่างกายเผ่าสิงซากสมุทรเหมือนกำลังเร่งความเร็วการเน่าเปื่อยภายใต้การจับจ้องของเขา แต่กลับไม่กล้าเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
เงาผู้แข็งแกร่งเผ่าสิงซากสมุทรแต่ละคนบนศีรษะจระเข้ยักษ์ไอพลังประหลาดนอกร่างกายก็เกิดคลื่นอย่างรุนแรง ร่างกายสั่นสะท้านไปหมด พากันกระอักเลือดสด อารมณ์แปรปรวน
กองทัพใหญ่ด้านหลังพวกเขาก็มีไม่น้อยที่ร่างระเบิดจนแหลกเละ
“คารวะท่านบรรพจารย์!” นายท่านเจ็ดสูดลมหายใจลึก คารวะอย่างนอบน้อมไปทางชายชราที่ก่อขึ้นจากรอยแตกบนฟากฟ้า
ผู้อาวุโสระดับสร้างฐานคนอื่นที่อยู่รอบๆ ทั้งหมดก็ล้วนทำเช่นเดียวกัน แต่ละคนก้มหัวเอ่ยคารวะเสียงดังสนั่น
และพริบตาที่พวกเขาคารวะ บรรพจารย์เจ็ดเนตรโลหิตบนฟากฟ้าก็ไหววูบฉับพลัน รอยแตกนับไม่ถ้วนที่รวมเป็นร่างเขาเหมือนแยกตัวออกจากฟากฟ้า กลายเป็นลำแสงสีแดงหลายสายราวกับมีชีวิต
รวมกลุ่มพุ่งหวีดหวิวตรงไปทางเผ่าสิงซากสมุทรที่กำลังสับสนอลหม่าน
ขณะที่เผ่าสิงซากสมุทรหน้าถอดสี แสงสีแดงเหล่านี้ปกคลุมอย่างรวดเร็ว พริบตาที่สัมผัส จุดที่แล่นผ่านล้วนถูกมันแทงจนทะลุ และพริบตาที่แทงทะลุก็ราวกับถูกกลืนกินอย่างไรอย่างนั้น เผ่าสิงซากสมุทรทั้งหมดแห้งเหี่ยวลงทันที
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา