บทที่ 124 สวี่ชิงเองก็บ้าคลั่ง!
สวี่ชิงเห็นภาพวาดฝาผนังนี้ จิตใจก็สั่นสะเทือน จู่ๆ แสงตะเกียงร่มดำในภาพวาดฝาผนังก็เปล่งประกายเจิดจ้า ราวกับมีอยู่จริงอย่างไรอย่างนั้น ประกายแสงส่องผ่านภาพวาดฝาผนังออกมายังโลกภายนอก
ขณะเดียวกันตะเกียงดับวิญญาณในมือสวี่ชิงก็เปล่งแสงที่ข้นยิ่งกว่าออกมาในพริบตานี้ สะท้อนแสงจากภาพวาดฝาผนังจนกลายเป็นทะเลแสง ระเบิดออกครืนครัน
สวี่ชิงหน้าเปลี่ยนสี คิดจะถอยกลับแต่ก็ไม่ทันแล้ว ร่างกายถูกทะเลแสงปกคลุมทันที
พริบตานั้น ร่างของสวี่ชิงก็หายไปด้วยเช่นกันจากการหายไปของทะเลแสง!
ราวกับว่าผ่านไปนานมาก และราวกับเป็นเพียงชั่วพริบตาเดียว
ตอนที่ประสาทสัมผัสของสวี่ชิงเริ่มชัดเจนจากความเลือนราง เขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่น่ากลัวขีดสุดวูบหนึ่งขึ้นเป็นลำดับแรก เหมือนเสียงคำรามของมหาอสูรร้ายแห่งโลก โถมเข้ามาด้านหน้าเขา
ทั้งๆ ที่ไม่มีเสียง ทั้งๆ ที่เป็นเพียงแรงกดดัน แต่ยังคงทำให้สองหูของสวี่ชิงอื้ออึง เหมือนแก้วหูจะทานทนไม่ไหว จะขาดอยู่รอนๆ มีเลือดสดไหลลงมาจากหูของเขา
ไม่เพียงเท่านี้ จมูกของเขาก็เช่นกัน สองตาเสียดแทงเจ็บปวด ลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบากมาก
ในร่างกายเองบิดเกลียวอย่างรุนแรง ราวกับว่าอวัยวะภายในทั้งหมดกำลังสั่นสั่นสะท้าน
ความเจ็บปวดที่มาจากสิ่งเหล่านี้ ทำให้สวี่ชิงไม่กล้าจะลูบจับสัมผัสสิ่งที่อยู่รอบๆ ในสถานการณ์ที่ลืมตาไม่ขึ้น
เขาทำได้เพียงย่อตัวนั่งลงอย่างรวดเร็ว ตั้งท่าพร้อมสู้ออกมาโดยสัญชาตญาณ ขณะเดียวกันก็สาดผงพิษไปรอบๆ เหล็กแหลมสีดำเองก็ถูกนำออกมา เขาปลดผนึกบรรพจารย์สำนักวัชระที่อยู่ด้านในออกโดยไม่ลังเล
ด้านในเหล็กแหลมก็มีเสียงโหยหวนส่งออกมาหลังจากที่ผนึกปลดออกทันที
บรรพจารย์สำนักวัชระตื่นขึ้นแล้ว เพียงแต่พริบตาต่อมา เขาก็กรีดร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา
“นายท่านข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้วจริงๆ ที่นี่มันที่ใดกัน ให้ตายเถอะ ที่นี่….ที่นี่….
“นายท่านท่านคิดจะทิ้งข้าไว้ที่นี่หรือ ให้ข้าต้องมาทนรับความทุกข์ทรมานชั่วกัปชั่วกัลป์ในที่แห่งนี้ ข้าอ่านคัมภีร์โบราณมากมาก คนมากมายในนั้นล้วนถูกจัดการเช่นนี้
“นายท่าน ข้าศิโรราบต่อท่านอย่างจริงใจ ยอมเป็นวิญญาณศัสตราให้กับท่าน ท่านอย่าสังหารข้าเลย ข้าเชื่อฟังมาก ข้ารู้ผิดแล้ว ข้าเป็นพวกตรงไปตรงมา อันที่จริงข้ายังฝังหินวิญญาณอีกไม่น้อยไว้ในสถานที่หนึ่ง อันที่จริงข้ายังทำสัญญาสหายเต๋าไว้อีกส่วนหนึ่งที่รับปากว่าจะจ่ายให้ข้าจำนวนเงินมหาศาล บอกว่าถ้าข้าขาดการติดต่อไปก็ให้พวกเขาลองมาหาท่าน
“นายท่าน ข้าจะบอกท่านเองว่าพวกเขาเป็นใคร ข้าจะจัดการพวกเขาให้!”
“หุบปาก!” สวี่ชิงไม่สามารถลืมตาได้ กัดฟันเอ่ยขึ้น
“บอกข้ามา ว่ารอบๆ นี้คืออะไร”
บรรพจารย์สำนักวัชระสั่นหนักกว่าเดิม แต่ก็ไม่กล้าจะไม่ฟังคำพูดของสวี่ชิง และไม่ยิ่งไม่กล้าจะปิดบัง ดวงวิญญาณเขาอยู่ในมืออีกฝ่าย จะอยู่หรือตายก็เพียงแค่ชั่วความคิดของอีกฝ่ายเท่านั้น
ดังนั้นจึงรีบตอบเสียงสั่น
“นายท่าน ที่นี่เหมือนจะเป็นแท่นบูชาแห่งหนึ่ง รอบๆ ล้วนเป็นกระดูกกองถมจนเหมือนทะเล พวกเราอยู่บนพื้นที่สูง ด้านหน้ามีบันไดเส้นหนึ่งทอดยาวลงไปด้านล่าง จากนั้นก็จะเป็นเส้นทางที่สองฟากเป็นหน้าผา ปลายทางมีแท่นบูชาทรงกลมแห่งหนึ่ง
“ด้านหน้าแท่นบูชานี้เป็นทะเลกระดูกมหาศาล ให้ตายเถอะที่นี่ใหญ่มากเลย ด้านหน้ายังมีรูปปั้นที่สั่นฟ้าสะเทือนดินอีกสามองค์ด้วย!”
“สามองค์เรียงกันใช่หรือไม่!” สวี่ชิงส่งกระแสเสียงต่ำ
“ไม่ใช่ หนึ่งยืนสองสักการะ” บรรพจารย์สำนักวัชระไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าตนเองเดินวนอยู่ระหว่างความเป็นตายไปแล้วรอบหนึ่ง
“ว่าต่อ” สวี่ชิงค่อยๆ เอ่ยขึ้น
“ที่ยืนอยู่นั่นเป็นยักษ์ ร่างกายมีงูใหญ่เก้าหัวตัวหนึ่งพันอยู่ราวกับเป็นเทพเจ้า ให้ตายเถอะ! นี่มันอะไรกัน เมื่อข้ามองไปก็รู้สึกเหมือนตาจะบอด ถ้าไม่ใช่เพราะข้าเป็นวิญญาณศัสตราไม่มีร่างกายมนุษย์ ข้าคงจะตาบอดไปแล้วจริงๆ…ด้านหน้าเขายังมีอีกสองคน…นายท่านข้าผิดไปแล้ว…นี่มันที่ใดกัน…”
จากคำสะอื้นไห้ของบรรพจารย์สำนักวัชระ ในใจสวี่ชิงก็สั่นสะเทือน เขารับรู้แล้วว่าตำแหน่งที่ตนเองอยู่คือโลกในภาพวาดฝาผนัง
ดังนั้นจึงครุ่นคิดไม่พูดอะไร แต่โบกมือปิดผนึกบรรพจารย์สำนักวัชระ หลังจากทำให้หลับลึกหุบปาก เขาก็รอให้ร่างกายปรับตัวกับฟื้นฟูอยู่เงียบๆ
จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งก้านธูป พลังฟื้นฟูของผลึกวารีสีม่วงในร่างกายก็แผ่ออกมาต่อเนื่อง จึงทำให้สวี่ชิงค่อยๆ ปรับตัวกับแรงกดดันรอบๆ ได้ระดับหนึ่ง
แม้ยังมีความเจ็บปวดแผ่ซ่าน ความรู้สึกร่างกายปริแตกยังไม่หายไป แต่เขาก็ยังฝืนลืมตาขึ้นมา เพื่อจะมองรอบด้านให้ชัดเจน
ที่นี่เป็นดังที่บรรพจารย์สำนักวัชระบรรยายไว้ สถานที่ที่สวี่ชิงอยู่เป็นเหมือนกับถ้ำขนาดยักษ์แห่งหนึ่ง และดูคล้ายจะเป็นโลกอีกชั้น
บันไดด้านหน้าใหญ่โตมโหฬาร ไม่เหมือนเอาไว้ให้เผ่ามนุษย์เดิน และใจกลางทะเลกระดูกด้านหน้าสุด รูปปั้นสามองค์นั้นก็น่าเกรงขามเหลือคณา
แรงกดดันที่ทำให้สวี่ชิงรับไม่ไหวแผ่ออกมาจากพวกเขาทางนั้น
ดวงตาสวี่ชิงเจ็บปวดจนเลือดไหล หลังจากกัดฟันฝืนชำเลือง ม่านตาทั้งสองก็หดลง เขามองเห็นว่าบนตัวยักษ์ที่ยืนอยู่ในทะเลกระดูกนั่น ในปากของงูตัวหนึ่งที่พันอยู่ คาบตะเกียงร่มสีดำนั่นอยู่
ตะเกียงร่มดำส่องแสงจ้า ดูประเสริฐยิ่ง ส่องอยู่บนโลกทั้งสองบนบ่ายักษ์ ทำให้โลกทั้งสองใบนี้เหมือนกับมีชีวิต
สวี่ชิงลมหายใจหอบถี่ ใจเต้นขึ้นอย่างรุนแรง หัวสมองมีเสียงอื้ออึงครืนครัน ดวงตาขวาง จ้องเขม็งไปที่ตะเกียงร่มดำนั่น
“ตะเกียงแห่งชีวิต?”
ในใจสวี่ชิงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง หัวเขามีคำบรรยายเกี่ยวกับตะเกียงแห่งชีวิตของนายกองก่อนหน้านี้ลอยขึ้นมา ความปรารถนาที่ไม่อาจพรรณนาได้กำลังโถมขึ้นในใจเขา
ตอนเข้ามาแม้จะคาดเดาไว้แล้ว แต่ยังคงถูกภาพนี้สั่นสะเทือนอยู่ดี
สถานที่นี้มีตะเกียงแห่งชีวิตอยู่ดวงหนึ่งด้วย!
เรื่องนี้ถ้าแพร่งพรายออกไป เกรงว่าการแข่งขันด้านนอกคงจบลงทันที สายตาทั้งหมดคงมารวมกันอยู่ที่นี่ พันธมิตรเจ็ดสำนักแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ก็คงจะมุ่งมาที่นี่เป็นลำดับแรก
ในความเป็นจริงก็คงเป็นเช่นนี้ หากเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป เช่นนั้นโลกภายนอกจะต้องบ้าคลั่งอย่างแน่นอน และเทียบกับตะเกียงแห่งชีวิต เผ่าเงือกอะไรนั่นก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นเหมือนว่าเผ่าเงือกเองก็ไม่รู้เรื่องนี้ มิเช่นนั้น ถ้าส่งมอบมันให้กับขั้วอำนาจใหญ่ใดสักที่ก็คงจะได้รับการคุ้มกันไปแล้ว!
ส่วนสวี่ชิงทางนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเงาก็คงจะค้นหาและเข้ามาได้ยาก
เวลานี้สวี่ชิงมองตะเกียงแห่งชีวิตดวงนั้น ในใจตื่นเต้นเหลือคณานับ แต่เขาก็ไม่กระทำบุ่มบ่าม สูดลมหายใจลึกสะกดคลื่นในใจ ทำให้ใจของตนเองผ่อนคลายลง
จากนั้นเขาจึงยกมือเช็ดเลือดในตาออก และสภาพร่างกายเขาตอนนี้ก็ดีขึ้นกว่าก่อนหน้าพอควรจากการฟื้นฟูต่อเนื่องของผลึกวารีสีม่วง
ผ่านไปพักหนึ่ง สวี่ชิงที่สงบจิตสงบใจแล้วเล็กน้อย เงยหน้ามองตะเกียงนั่นอีกครั้ง ดวงตาค่อยๆ เผยความเด็ดขาดออกมา
เขาทดลองเดินหน้า จนเข้าใกล้ปลายทาง มองบันไดขนาดยักษ์ด้านล่าง ร่างกายก็คลานลงไปฉับพลัน
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา