บทที่ 135 กฎของบนเขา
ในเวลาเดียวกับที่สวี่ชิงปะทุกลิ่นอายระดับสร้างฐาน เสียงระฆังดังก้องไปทั่วทั้งยอดเขาที่เจ็ด เงาร่างสามร่างก็พุ่งมาจากทางยอดเขาอย่างรวดเร็ว บินมุ่งตรงมายังล่างเขาทันที
โดยปกติแล้ว หากมีผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานเหยียบบนบันไดขึ้นเขา จะถูกสกัดกั้นอยู่ข้างนอกเท่านั้น จะไม่ทำให้เสียงระฆังดังขึ้น
ตอนนี้ต้องแจ้งตัวตนบอกจุดประสงค์ที่มา จะมีค่ายกลแจ้งคนที่ต้องการมาเยี่ยมเยียน หลังจากที่อีกฝ่ายตกลง จึงจะสามารถขึ้นเขาท่ามกลางการจับตามองจากค่ายกลได้
อย่างตอนนั้นที่บรรพจารย์สำนักวัชระมาเยี่ยมเยียนนักพรตเมฆาอิสระแห่งยอดเขาที่หกก็เป็นเช่นนี้เช่นกัน
และในเสี้ยวพริบตาแรกที่เหยียบลงบนบันไดขึ้นเขาทำให้เกิดเสียงระฆังขึ้นมีเพียงความเป็นไปได้ข้อเดียวเท่านั้น
นั้นก็คือ…มีลูกศิษย์ในสำนักที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนในผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานคนใหม่ในค่ายกล
แน่นอนว่าศัตรูบุกเป็นอีกกรณีหนึ่ง
ในสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ลูกศิษย์ล่างเขาก้าวสู่ระดับสร้างฐานไม่ใช่ทุกคนจะเลือกเช่าที่สร้างฐานของสำนัก ด้านหนึ่งคือราคาแพงมาก อีกด้านหนึ่งคือผู้ที่สามารถแสดงพรสวรรค์ออกมาได้จากบรรดาผู้บำเพ็ญระดับรวมปราณนับไม่ถ้วนในโลกาวินาศนี้ มักจะมีวาสนาของตัวเอง
เรื่องแบบนี้ใช่ว่าจะพบเห็นได้น้อย อย่างไรเสีย นอกจากวาสนาแล้ว สำนักที่มีผลประโยชน์เป็นพลังสามัคคี ในเรื่องความเชื่อใจก็แทบจะไม่มี
ดังนั้น สำนักเจ็ดเนตรโลหิตมีผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานประมาณสามส่วนที่ทะลวงขั้นจากข้างนอกกลับมา
วาสนาเหล่านี้ส่วนมากล้วนเกี่ยวพันกับซากโบราณสถาน แม้จะมีคนสังเกตเหมือนกัน แต่เรื่องแบบนี้ไม่ใช่กรณีพิเศษอะไร อีกทั้งยังเป็นเรื่องไม่เหมาะสมมากๆ หากเกิดจิตคิดร้ายแย่งชิง จะอย่างไรถ้าไม่แพร่งพรายออกไปก็ไม่มีปัญหา แต่หากเรื่องแพร่งพรายออกไปจะสั่นคลอนรากฐานของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต
ดังนั้นสำนักเจ็ดเนตรโลหิตจึงห้ามอย่างเด็ดขาด แม้จะเกิดการสังหารกันเองอย่างลับๆ บ้าง แต่โดยรวมแล้วก็นับว่าหลับตาข้างนึง ในเมื่อสำหรับผู้บำเพ็ญบนเขาของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ก่อนที่พวกเขาจะลงมือล้วนประเมินแล้วว่าคุ้มหรือไม่
เสี่ยงขนาดนั้นเพื่อการคาดเดาที่ไม่รู้ผลลัพธ์ น้อยนักที่จะมีคนโง่ขนาดนั้น
เรื่องเหล่านี้ในตอนที่สวี่ชิงเลือกจะออกไปสร้างฐานข้างนอกก็ได้คิดอย่างกระจ่างดีแล้ว ตอนนี้มองไปยังเงาร่างทั้งสามที่ทะยานเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว พลางยืนรอการมาเยือนของพวกเขาอยู่บนบันได้ขั้นที่ห้า
ไม่นานนักเสียงพุ่งมาอย่างรวดเร็วก็ยิ่งชัดขึ้น ในเงาทั้งสามที่บินตรงมาที่นี่จากที่ไกลๆ คนที่อยู่หน้าสุดสวมชุดคลุมยาวสีม่วง รูปร่างสูงปานกลาง มีใบหน้ากลม
เป็นคนที่นำให้สวี่ชิงในตอนที่เขาขึ้นเขาครั้งแรกนั่นเอง ตอนนั้นอีกฝ่ายยังเตือนเรื่องช่องโหว่ความเคยชินมือข้างขวาของเขาและเรื่องซ่อนคมเข็มในผ้าด้วยความหวังดีอีกด้วย
มองเงาร่างของอีกฝ่าย สวี่ชิงก็สะท้อนใจนัก ตอนนั้นเขาก็แค่ฟังอีกฝ่ายพูดว่าซ่อนคมเข็มในผ้านี้เท่านั้น แต่ประสบการณ์ในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตในตอนนี้ แต่ละคนที่ได้เจอ เขาก็สัมผัสได้อย่างลึกซึ้งแล้วว่าอะไรที่เรียกว่าซ่อนคมเข็มในผ้า
ส่วนตัวเขาก็เรียนรู้อะไรมากมายจากสภาพแวดล้อมใหญ่ๆ อย่างสำนักเจ็ดเนตรโลหิตนี้
สวี่ชิงประสาน ในเสี้ยวพริบตาที่อีกฝ่ายประชิดเข้ามาใกล้ ก็โค้งคารวะสุดตัว
บนท้องฟ้ามีเสียงหัวเราะดังมา
เงาร่างผู้บำเพ็ญหน้ากลมคนนั้นไหววูบ มาถึงข้างหน้าสวี่ชิง ใบหน้าที่อ่อนโยนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“สวี่ชิง ตอนนั้นข้าเจอเจ้าครั้งแรกก็รู้สึกว่าเจ้าเป็นคนที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงเอ่ยปากเตือน วันนี้ได้พบกันอีกครั้ง เจ้าได้กลายเป็นคนระดับเดียวกับข้าแล้ว”
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ตักเตือนสั่งสอน” สวี่ชิงในใจขอบคุณผู้บำเพ็ญหน้ากลมคนนี้จริงๆ พูดพลางประสานหมัดโค้งคารวะ
“ไม่ต้องเรียกว่าผู้อาวุโส เจ้าเป็นระดับสร้างฐานแล้ว เจ้าและข้าเรียกว่าศิษย์พี่ ศิษย์น้องพอแล้ว ศิษย์น้องสวี่ชิง ข้าชื่อจางอวิ๋นซื่อ เจ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่จางก็ได้”
ผู้บำเพ็ญใบหน้ากลมหัวเราะพลางเอ่ยปาก ระหว่างพูดก็เงยหน้า มองเห็นเจ้าจงเหิงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงอยู่ไม่ไกล
เดิมเขาก็เป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลมอยู่แล้ว สายตากวาดมองสีหน้าของเจ้าจงเหิง แล้วก็มองสวี่ชิง ในใจก็พอคาดเดาอะไรได้คร่าวๆ แล้ว แต่ก็ไม่ทำให้เป็นเรื่องอะไรเยอะ ดังนั้นแล้วจึงหรี่ตาดวงเล็กๆ ลง
“ศิษย์น้องสวี่ชิง พวกเราขึ้นเขากันดีหรือไม่”
“รบกวนศิษย์พี่จางแล้ว” สวี่ชิงพยักหน้าอย่างเกรงใจ แล้วประสานมือคารวะไปทางผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานอีกสองคนที่อยู่ข้างกายอีกฝ่าย
เขาพบว่าผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานบนเขาส่วนมากล้วนเก็บซ่อนระลอกคลื่นพลัง สองคนนี้ก็เช่นกัน จางอวิ๋นซื่อก็เช่นกัน ดังนั้นสวี่ชิงจึงยากที่จะสังเกตตื้นลึกหนาบางโดยละเอียดได้ในทันที
นี่ทำให้การเตรียมพร้อมรับมือและความระแวดระวังในใจของสวี่ชิงสูงมาก
และเห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนนี้ตำแหน่งไม่เท่าจางอวิ๋นซื่อ เห็นจางอวิ๋นซื่อรู้จักกับสวี่ชิง ดังนั้นแล้วจึงยิ้มเล็กน้อย หลังจากที่ประสานหมัดโค้งคารวะก็จากไป
สวี่ชิงเดินไปข้างหน้าตามขั้นบันไดภายใต้การนำทางไปด้วยกันของจางอวิ๋นซื่อไปเช่นนี้เอง
ต้นไม้สองข้างทางร่มรื่น ตอนนี้ลมทะเลพัดมาทำให้ใบไม้ไหว ยิ่งมีเสียงวิหคขับขานกังวานในนั้น
เสียงนี้ไพเราะจับใจนัก เหมือนทำให้จมอยู่ในห้วงความคิดได้ ภาพที่ขึ้นเขามาครั้งแรกในวันนั้นทับซ้อนกับช่วงเวลานี้
“ศิษย์น้องสวี่ โลกข้างล่างเขาของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตตอนนั้นข้าได้แนะนำกับเจ้าไปแล้ว วันนี้ข้าจะบอกเจ้าถึงเรื่องบนเขา” ท่ามกลางสายลม เสียงอ่อนโยนสงบนิ่งของจางอวิ๋นซื่อดังก้องไปบนถนน
“ยอดเขาที่เจ็ดมีผู้อาวุโสสิบสามคน ล้วนแต่เป็นผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณ ใต้พวกเขาก็คือพวกเราผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานซึ่งมีจำนวนหนึ่งร้อยสี่สิบกว่าคน วันนี้เมื่อเจ้าลงทะเบียนแล้ว ผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานของยอดเขาที่เจ็ดก็จะเป็นหนึ่งร้อยสี่สิบเก้าคน
“ดูเหมือนเยอะมาก แต่ความจริงแล้วมีไม่เท่าไร ทั้งสำนักเจ็ดเนตรโลหิตเกือบพันคนก็เท่านั้น ต้องรู้ว่าสำนักเจ็ดเนตรโลหิตเราเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจใหญ่ของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณเชียวนะ
“ดังนั้นตำแหน่งและฐานะของผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานนั้นสูงมาก
“เรื่องนี้ที่ใดๆ ในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณก็เป็นเช่นนี้ทั้งนั้น สำนักเจ็ดเนตรโลหิตของเราก็เช่นกัน หลังจากที่เจ้าลงทะเบียนแล้ว ทุกเดือนก็จะได้หินวิญญาณประมาณห้าพันเจ็ดร้อยกว่าก้อน
“จำนวนโดยละเอียดต้องดูรายรับของสำนักในทุกเดือน ดังนั้นจึงไม่แน่นอน แต่คลาดเคลื่อนไม่มาก
“นอกจากนั้น หลังจากที่เป็นระดับสร้างฐานแล้ว เจ้ามีสิทธิ์ที่จะพักบนเขา แต่ว่าถ้ำต้องจ่ายเงิน แล้วก็เคล็ดวิชาระดับสร้างฐานของสำนัก ไม่ได้ให้เปล่าๆ เหมือนตอนเป็นระดับรวมปราณ ต้องจ่ายเงินเช่นกัน ส่วนที่โถงตำรา วิชาสร้างฐานใดๆ ในนั้นเจ้าล้วนมีสิทธิ์ซื้อหา ไอรีนโนเวล



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา