บทที่ 136 ชุดนักพรตม่วงคลุมตัว
ประโยคนี้ราวสายอัสนีบาตดังสะท้อนก้องอยู่ข้างหูสวี่ชิง ทำจิตวิญญาณของเขาเกิดระลอกคลื่นขึ้นมาบางส่วน แต่สีหน้าสวี่ชิงก็ไม่เปลี่ยนไปเท่าไรนัก
“ขอรับ”
เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องปิดบัง ตะเกียงดับวิญญาณของเผ่าเงือกแม้มูลค่าจะสูง แต่ก็ไม่ใช่สิ่งของที่ไม่เคยมีใครได้จับต้องมาก่อน การลงมือครั้งนั้นของสวี่ชิงค่อนข้างเงียบเชียบ แต่ความเป็นจริง หากคิดจะตรวจสอบคงหาเบาะแสได้มากมายอยู่
การพูดโกหกในเรื่องนี้ สวี่ชิงรู้สึกว่าไม่จำเป็น กลับรู้สึกว่ายิ่งปิดก็ยิ่งทำให้เรื่องราวเด่นชัดขึ้นด้วยซ้ำ
“เจ้าคิดจะทำอย่างไรกับมัน” นายท่านสามมองสวี่ชิงแล้วถามขึ้นเรียบๆ
“ขายทิ้ง”
สวี่ชิงตอบอย่างไม่ต้องคิด เงยหน้ามองนายท่านสาม
นายท่านสามตอนนี้นั่งอยู่หัวโต๊ะ กลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาบิดเบี้ยวบริเวณรอบๆ จนทำให้ทั้งตำหนักใหญ่ตกอยู่ในแรงกดดัน จากการสะท้อนก้องในคำพูดของเขาเมื่อครู่ ความรู้สึกกดดันนี้ก็รุนแรงมากขึ้น
กระทั่งความรู้สึกเสียดแทงในดวงตานั้นยังปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง แต่ว่าในความรู้สึกของสวี่ชิงกลับดีกว่าครั้งที่แล้วมากพอควร
ต้องรู้ด้วยว่าครั้งที่แล้ว แค่เงยหน้าเขายังต้องออกแรงมหาศาล พอเหลือบมอง ตาทั้งสองก็เจ็บปวดขึ้นมาอย่างรุนแรง
พอนายท่านสามได้ยิน ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา เหมือนจะพึงพอใจที่สวี่ชิงไม่ปิดบัง ก็เลยพูดต่อว่า
“สวี่ชิง ข้าจะพูดตรงๆ เลย ข้าชอบในตัวเจ้า ตะเกียงดับวิญญาณในเมื่อเจ้าได้ไปแล้ว ข้าก็ไม่ต้องการมันอีก ตะเกียงดวงนั้นข้าไม่ได้ต้องตามัน
“แต่ว่าข้าเตือนเจ้าหน่อย ถ้าจะขายก็รีบขายเสีย ไม่เช่นนั้นสุดท้ายก็จะมีคนที่โหยหามัน ข้ายังรู้ได้ว่าเจ้าได้มา คนอื่นถ้าอยากรู้ก็คงไม่ยากนัก”
“ตอนนี้ เจ้าส่งป้ายฐานะมาให้ข้า”
สวี่ชิงหลุบตาลง ล้วงป้ายฐานะออกมา
นายท่านสามโบกมือขวา หลังจากป้ายฐานะนี้ลอยเข้าไปในมือแล้วจึงตบลงเบาๆ ก็สั่นระริกเปล่งแสงทันใด เมื่อข้อมูลด้านในถูกปรับแต่งก็มีคลื่นค่ายกลเข้ามาเหมือนจับมันประทับตรา
ครู่ต่อมา แสงจากป้ายฐานะสลายไป หลังจากกลับเป็นปกติ นายท่านสามก็โยนไปทางสวี่ชิง
สวี่ชิงยกมือรับ และเตรียมตัวแบกรับแรงมหาศาลบนนั้นแล้ว ถึงอย่างไรวันนั้นที่พบกับเจ้ากรมที่กรมปราบพิฆาตก็เคยเจอเรื่องแบบนี้มาแล้ว
แต่จากการที่เขารับป้ายฐานะเอาไว้ กลับไม่มีพลังอะไรเลย เหมือนกับว่าแรงสลายหายไปเองอย่างสมบูรณ์ในพริบตาที่เขาสัมผัสมัน
ภาพนี้ทำให้ม่านตาสวี่ชิงหดลง เขาสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของทั้งสองฝั่ง
ต้องรู้ด้วยว่าการปล่อยพลังออกภายนอกเป็นเรื่องง่าย แต่การจะควบคุมโดยไม่ให้เล็ดลอดออกมาอย่างสมบูรณ์ต่างหากจึงเป็นเรื่องยาก
“เจ้าไปได้แล้ว” นายท่านสามหลับตาลง
สวี่ชิงประสานมือคารวะแล้วออกมา แต่ตอนที่เขาเดินออกจากตำหนักใหญ่ เสียงของนายท่านสามก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“จงเหิงเจ้าเด็กนั่น นิสัยไม่ได้เลวร้ายนัก”
“ศิษย์ทราบแล้ว” สวี่ชิงหมุนตัวคารวะ เดินออกจากตำหนักใหญ่ ในใจเข้าใจเป็นอย่างดีว่าที่ตนเองมาเมื่อครั้งนั้นอีกฝ่ายไม่พูดประโยคนี้ แต่เป็นผู้ดูแลหลี่ที่พูด ก็เพราะสถานะตนเองยังไม่เพียงพอนั่นเอง
แต่ตอนนี้ต่างไปแล้ว
ผู้ดูแลหลี่ที่อยู่ข้างๆ พยักหน้าให้เมื่อสวี่ชิงเดินออกมา หลับตาไม่พูดอะไร สวี่ชิงเงยหน้ามองไปยังจางอวิ๋นซื่อที่อยู่ไกลๆ เดินตรงไปหาเขา
จางอวิ๋นซื่อยิ้มๆ เวลาถัดจากนี้ก็พาสวี่ชิงไปรับชุดนักพรต ขณะเดียวกันสวี่ชิงเองก็เลือกถ้ำพำนักไว้แห่งหนึ่ง เพียงแต่ว่าถ้ำพำนักส่วนใหญ่ล้วนถูกเลือกไว้หมดแล้ว จุดที่เขาเลือกค่อนข้างห่างไกลหน่อย
แต่สวี่ชิงก็รู้สึกว่าไม่เลวเลย ส่วนเรื่องราคาเองก็ไม่ได้แพงขนาดที่จินตนาการไว้
สุดท้ายสวี่ชิงก็ไปยังโถงตำราจากการแนะนำและชี้แนะของจางอวิ๋นซื่อ และแลกวิชาผู้บำเพ็ญสร้างฐานมาจากที่นั่น นอกเหนือจากนี้ เขายังแลกวิชาฝึกกายาบางส่วนมาอีกด้วย
เมื่อทำเรื่องเหล่านี้เสร็จก็เย็นย่ำมากแล้ว จางอวิ๋นซื่อส่งสวี่ชิงหน้าถ้ำพำนักที่เขาเลือกไว้ จากนั้นจึงประสานหมัดขอตัว ก่อนจากไปเขาก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์น้องสวี่ สาเหตุที่ข้าอยู่เป็นเพื่อนด้วยวันนี้ เรื่องแรกคือรู้สึกว่ามีวาสนากับตัวเจ้า ส่วนอีกเรื่องหนึ่งก็คือภารกิจการขึ้นเขาของศิษย์ในเดือนนี้ข้าเป็นคนรับไว้ และข้าจะได้รับรางวัลจากสำนักเพราะเรื่องนี้ด้วย
“ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลว่าเหตุใดข้าจึงกระตือรือร้นมีไมตรีจิตเสียขนาดนี้ แต่เอาจริงๆ ก็ถือเป็นวาสนาของข้ากับเจ้าอยู่เช่นกัน หลังจากนี้ถ้าพบกันในทะเลก็หวังว่าเราจะดูแลกันและกันนะ
“สุดท้าย ศิษย์น้องสวี่ชิง ข้าขอเตือนเจ้าคำหนึ่งด้วยความเป็นมิตร เมื่อเข้าสู่สร้างฐานแบบข้าแล้ว จะต้องรีบเปิดช่องเวทสามสิบช่องให้ไวที่สุด สร้างไฟชีวิต เพื่อครอบครองสภาวะแสงนภา
“เจ้าต้องรู้ว่าพลังฝึกบำเพ็ญระหว่างการมีและไม่มีสภาวะแสงนภานั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เข้าสู่สร้างฐานอย่างยากลำบาก หากไม่รีบสร้างไฟชีวิตจะขาดทุนมหาศาล มีสร้างฐานหลายคนที่ตายไป ส่วนใหญ่ก็อยู่ที่ช่วงนี้
“สร้างฐานที่ไม่มีสภาวะแสงนภาก็เหมือนกับได้รังแกระดับรวมปราณอย่างไรอย่างนั้น” จางอวิ๋นซือยิ้มตาหยี พูดจบก็มองมือขวาสวี่ชิง หลังจากที่มองไม่ออกถึงข้อบกพร่อง เขาจึงยิ้มแล้วขอตัวจากไป
สวี่ชิงหรี่ม่านตา ไม่ว่าจะความเข้าใจของเขาหรือว่าจากการเล่าเรื่องของอีกฝ่ายก็ล้วนทำให้เขาเข้าใจถึงความสำคัญของไฟชีวิตระดับสร้างฐานแล้ว
ตอนนี้เขาประสานหมัดคารวะส่งจางอวิ๋นซื่อที่หายลับไปด้วยสายตา
ขณะเดียวกันการระแวดระวังในใจก็เก็บกลับมาจากอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน หันหน้าไปมองยังถ้ำพำนักของตนเอง
จุดที่เขาเลือกอยู่ชิดริมผา ประตูหินถ้ำพำนักสีดำเขียวปิดสนิท รอบด้านล้วนเป็นวัชพืช บนประตูเองก็มีตะไคร่เต็มไปหมด ความชื้นแผ่ปกคลุมตามสายลม
หลังจากตรวจสอบไปพักหนึ่ง สวี่ชิงก็เดินเข้าใกล้ประตูหินล้วงแผ่นหยกควบคุมถ้ำพำนักออกมาถ่ายพลังวิญญาณลงไป ประตูหินถ้ำพำนักก็เปล่งแสงอักขระทันที สวี่ชิงทำตามวิธีที่บันทึกไว้ในแผ่นหยก ยกมือวางไว้บนอักขระ
เหมือนประทับร่องรอย เมื่อถ้ำพักนักบันทึกรอยประทับของเขาจากแสงจ้าของอักขระ ประตูใหญ่ก็ค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นสิ่งแวดล้อมด้านใน
ถ้ำพำนักนี้ไม่ใหญ่นัก มีห้องเพียงสองห้อง ด้านในไม่ได้มืดสนิท บนเพดานสลักไข่มุกเรืองแสงไว้ แผ่แสงที่อ่อนโยนออกมา เหมือนไม่มีคนใช้งานมานาน เต็มไปด้วยฝุ่น ดฮณ๊ฯดฯฌซ,


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา