เข้าสู่ระบบผ่าน

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา นิยาย บท 137

บทที่ 137 คัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณ

‘เคล็ดเลี้ยงชีวันดูเป็นฝ่ายถูกกระทำเกินไป!’ ในถ้ำพำนัก สวี่ชิงเงยหน้าขึ้น ดวงตาเผยแววเด็ดขาด

อันที่จริงตะเกียงแห่งชีวิตของเขาเลือกเคล็ดเลี้ยงชีวันจะดีกว่า ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำพักนักไม่ออกไปที่ใด ค่อยๆ ฝึกบำเพ็ญไฟชีวิตออกมา พลังรบก็น่าตกตะลึงเช่นเดียวกัน

เพียงแต่ช่วงเวลาเช่นนี้มันยาวนานเหลือเกิน และการฝึกบำเพ็ญก็จำเป็นต้องใช้หินวิญญาณมหาศาล เรือเวทของเขาก็ต้องยกระดับ สำคัญที่สุดก็คือสวี่ชิงรู้สึกว่าในวิถีแห่งโลกนี้ ตะวันขึ้นหรือตกไม่แน่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปสักวันหนึ่งก็ได้

ดังนั้นจึงไม่เหมาะที่เขาจะฝึกบำเพ็ญเคล็ดเลี้ยงชีวันอยู่เงียบๆ

เขากังวลว่าฝึกบำเพ็ญเช่นนี้ เกรงว่าดวงไฟชีวิตยังไม่ทันจะก่อตัว เรื่องไม่คาดคิดคงจะมาถึงก่อนเป็นแน่

เป็นฝ่ายถูกกระทำเช่นนี้ สวี่ชิงไม่ชอบ

ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจฝึกบำเพ็ญคัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณ

และพอฝึกบำเพ็ญคัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณจนถึงระดับสูงสุด หลังจากที่นำวิญญาณศัตรูสะกดไว้ในช่องเวทตนเองแล้ว ไม่เพียงแต่เพิ่มระดับความแข็งแกร่งของพลังเวทได้ ขณะเดียวกันบนแผ่นหยกวิชายังเขียนไว้ว่าสามารถใช้วิญญาณที่ถูกสะกดเหล่านี้ผสานเข้ากับเรือเวทด้วยวิธีพิเศษได้ด้วย

หลังจากผสานแล้ว ทำให้มันไปอยู่ในระดับประเภทวิญญาณของเรือเวท

สิ่งนี้ทำให้เรือเวทมีคุณลักษณะพิเศษบางส่วนของของวิเศษเวท!

ส่วนเรื่องของวิเศษเวท สวี่ชิงก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน

แต่เขารู้ว่าของวิเศษเวทบนโลกนี้พบเห็นได้น้อยมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้งานต่อเนื่องไม่ได้ และทุกชิ้นล้วนมีพลังระดับสั่นฟ้าสะเทือนดิน

“ตะเกียงแห่งชีวิตของข้าในบางระดับอาจจะเป็นของวิเศษเวทแบบพิเศษก็ได้” สวี่ชิงพึมพำ สำหรับเรื่องนี้เขายังไม่ค่อยเข้าใจนัก

เวลานี้ไม่จำเป็นต้องคิดอีก เมื่อตัดสินใจแล้วเขาก็หยิบแผ่นหยกมาทันที หลังจากขัดสมาธิค้นคว้าอยู่ครู่หนึ่ง ขณะที่หลับตาลงเริ่มทำตามคำบรรยายในคัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณและเริ่มฝึกบำเพ็ญวิชานี้ ช่องเวทในร่างกายก็เปล่งแสงแผดเผาทะเลวิญญาณ!

ก้าวแรกของคัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณ คือการสร้างเพลิงพิฆาต

ในช่องเวทผู้บำเพ็ญสร้างฐานล้วนมีไฟเวทเก็บไว้ ไฟนี้สามารถแผดเผาทะเลวิญญาณก่อตัวขึ้นเป็นพลังเวท ขณะเดียวกันก็เป็นกุญแจสำคัญในการจุดสว่างดวงไฟชีวิตตอนท้ายสุดได้

เนื่องจากสวี่ชิงผสานเข้ากับตะเกียงแห่งชีวิตร่มดำไปแล้ว ดังนั้นเปลวไฟในช่องเวทของเขาจึงมีการเปลี่ยนแปลง กลิ่นอายที่ผสานเข้ากับตะเกียงแห่งชีวิตจึงกลายเป็นสีดำ

และไฟที่คัมภีร์เพลิงพิฆาตกลืนวิญญาณฝึกบำเพ็ญออกมาจึงกลายเป็นสีดำไปด้วย ดูคล้ายกับไฟร่มดำของสวี่ชิง

เมื่อผ่านไปสองชั่วยาม ตอนที่สวี่ชิงฝึกบำเพ็ญคัมภีร์นี้ หลังจากที่ไฟพิฆาตวูบหนึ่งก่อตัวขึ้นในช่องเวท เมื่อเทียบกันแล้วเขาจึงพบว่าไฟจากช่องเวททั้งสองแบบนี้มีความห่างชั้นมหาศาลอยู่

ไฟของร่มดำไม่ว่าจะเป็นระดับความร้อนรวมไปถึงระดับชั้นก็ล้วนแข็งแกร่งกว่าไฟพิฆาตอยู่มาก ยิ่งไปกว่านั้นปราณพิฆาตเองก็เช่นกัน สิ่งเดียวที่แตกต่างกันก็คือไม่มีความสามารถในการดึงวิญญาณ

แต่เรื่องนี้ก็แก้ไขได้ หลังจากที่สวี่ชิงนำเอาเพลิงพิฆาตกับไฟดำของตนเองผสานเข้าด้วยกัน เพลิงพิฆาตที่ถูกเขาฝึกบำเพ็ญออกมาก็ถูกดูดกลืนไปในพริบตา ขณะเดียวกันในไฟดำนี้ก็ค่อยๆ ปรากฏความสามารถในการดึงวิญญาณของเพลิงพิฆาตขึ้นมา

สิ่งนี้ทำให้สวี่ชิงพึงพอใจมาก ดังนั้นจึงฝึกบำเพ็ญต่อ

และผ่านไปสามวันเช่นนี้

ขณะที่สวี่ชิงทำให้ไฟดำที่ช่องเวททั้งสองในร่างกายค่อยๆ อบอวลไปด้วยความสามารถดึงวิญญาณอย่างเข้มข้น สวี่ชิงก็เสร็จสิ้นการฝึกบำเพ็ญ เขารู้ว่าตอนนี้สำหรับตนเอง สิ่งสำคัญคือวิญญาณ

เขาต้องการวิญญาณในฐานะเชื้อเพลิงเพื่อทะลวงเปิดช่องเวทที่สาม

‘ไม่รู้ว่าศิษย์พี่จางซานกลับมาแล้วหรือยัง รอจนเขาซ่อมเรือเวทข้าเสร็จ ข้าจะเดินเรือออกทะเลอีกสักรอบ’

สวี่ชิงก้มหน้ามองเงาของตนเอง หลังจากคิดๆ เขาก็ล้วงเอาเหล็กแหลมสีดำ ปลดผนึกบรรพชนสำนักวัชระที่อยู่ด้านในออกมา

กลิ่นอายบรรพชนสำนักวัชระแผ่ซ่านในพริบตา แต่เขาก็หวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด เวลานี้ตื่นขึ้นมาแล้ว แต่กลับไม่กล้าพูดเลยสักประโยคราวกับกลัวว่าถ้าพูดไม่ถูกจะทำให้สวี่ชิงเกิดจิตสังหารขึ้นมา

สวี่ชิงชำเลืองเหล็กแหลมสีดำผาดหนึ่ง ไม่สนใจ แต่พลังสะกดของผลึกวารีสีม่วงในร่างกายก็ปรากฏขึ้นฉับพลัน สะกดเงาอย่างหนักหน่วงต่อหน้าบรรพชนสำนักวัชระที่ซ่อนอยู่ในเหล็กแหลม

นี่คือกิจวัตรประจำวัน สวี่ชิงสีหน้าเรียบสงบตั้งแต่ต้นจนจบ และเงาเองก็เหมือนจะชินเสียแล้ว ไม่มีอาการต่อต้านและขับไล่ใดๆ ยอมให้สวี่ชิงสะกดมันจนแทบจะแหลกสลายเป็นชิ้นๆ

และบรรพชนสำนักวัชระในเหล็กแหลมเวลานี้อาการสั่นเทาก็ยิ่งรุนแรงกว่าเดิม ราวกับเป็นนกน้อยที่ตื่นกลัวลูกธนู ถูกฉากเชือดไก่ให้ลิงดูฉากนี้เล่นงานเสียจนร่างวิญญาณศัสตราไม่มั่นคงเสียแล้ว

“เจ้าในตอนนี้ ไม่ค่อยมีประโยชน์กับข้าเท่าไรแล้วนะ” สวี่ชิงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

หลังจากฝึกบำเพ็ญมาจนถึงสร้างฐาน สวี่ชิงเองก็มองเงาของตนเองในมุมอื่นแล้ว อีกฝ่ายแม้จะมีเจตจำนงของตนเอง แต่สวี่ชิงก็ยังสามารถสะกดไว้ได้ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องทำให้อีกฝ่ายแข็งแกร่งขึ้นมาบ้าง

มิเช่นนั้น ถ้าไล่ตามฝีเท้าของตนเองไม่ได้ก็จะกลายเป็นไม้ตายไม่ได้ และบรรพชนสำนักวัชระในเหล็กแหลมสีดำ สวี่ชิงเองก็รู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน

อีกฝ่ายดูจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจเกินไปแล้ว ถ้ายังเป็นเช่นนี้ ก็จะไม่สอดคล้องกับเส้นทางภายหลังของตนเอง

คำพูดของเขาทำให้เงาสั่นเทาทันที และการสั่นเทาของเหล็กแหลมสีดำก็รุนแรงยิ่งกว่า

ครู่ต่อมา จู่ๆ เงาก็บิดเบี้ยวภายใต้สายตาเย็นชาของสวี่ชิง ท่ามกลางคลื่นความผันผวน จิตสำนึกอันอ่อนแอเลือนรางวูบหนึ่งก็เข้ามาในหัวของสวี่ชิง

‘ไอพลังประหลาด…ยกระดับ…ความเป็นเทพ…’

สวี่ชิงเหมือนครุ่นคิด สายตาละออกจากตัวเงาไปตกอยู่บนตัวเหล็กแหลมสีดำแทน ในดวงตาไม่มีจิตสังหารแผ่ออกมา แต่สายตานี้ยังคงทำให้การสั่นไหวของเหล็กแหลมรุนแรงขึ้นไปอีก

“แล้วเจ้าล่ะทำอะไรได้บ้าง”

สวี่ชิงเอ่ยขึ้นแช่มช้า ตอนที่มือขวายกขึ้นดวงวิญญาณของบรรพชนสำนักวัชระก็ปรากฏขึ้นมาในมือเขา ตั้งท่าเหมือนจะบีบทิ้ง แต่พริบตาต่อมาบรรพชนสำนักวัชระก็ปรากฏตัวออกมาจากเหล็กแหลมอย่างรวดเร็ว

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา