บทที่ 163 แปลกประหลาดนัก!
แม้สำนักเจ็ดเนตรโลหิตสำนักนี้จะมีผลประโยชน์เป็นหลัก และเพราะด้วยเหตุนั้นความเคารพที่ผู้อ่อนแอมีต่อผู้แข็งแกร่งจึงยิ่งเห็นได้ชัด ไม่ใครโง่ลดทิฐิไม่ลงเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้แข็งแกร่ง
คนแบบนั้นส่วนมากล้วนอยู่ไม่ถึงตอนนั้น
ดังนั้นระดับความเคารพของผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานยอดเขาที่ห้าคนนี้จึงแทบจะใกล้เคียงกับความเคารพที่มีต่อผู้อาวุโสแล้ว
ไม่ว่าในใจของเขาจะเป็นอย่างไร แต่ท่าทีเช่นนี้น้อยนักที่จะมีคนเกลียด
สวี่ชิงได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า หลังจากกวาดสายตามองรอบๆ เขาก็หามุมหนึ่งนั่งลงขัดสมาธิ
รอคลื่นแรงดึงดูดแผ่มาถึง พลางทะลวงช่องเวทที่สี่สิบเอ็ดในร่าง
และวิญญาณของผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานขั้นไฟชีวิตก็มีประโยชน์จริงๆ เพียงพริบตาสวี่ชิงก็ทะลวงเปิดช่องเวทที่สี่สิบเอ็ดได้สำเร็จ กระทั่งว่ายังมีพลังเหลือทะลวงช่องที่สิบสอง
แม้จะไม่สำเร็จแต่ก็ทำให้ช่องเวทที่สี่สิบสองเกิดรอยร้าวจำนวนไม่น้อย
นี่ทำให้สวี่ชิงดีใจมาก เขารู้สึกว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ตนน่าจะไม่ต้องใช้เวลานานเท่าไรก็สามารถก่อไฟชีวิตดวงที่สองได้ และถึงตอนนั้น เขาดูเหมือนผู้บำเพ็ญไฟชีวิตสองดวง แต่กำลังรบที่แท้จริงถึงระดับไฟชีวิตสามดวงสุดยอดของผู้บำเพ็ญสร้างฐานส่วนมากได้แล้ว
‘น่าเสียดายที่ผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานขั้นไฟชีวิตมีไม่มากนัก จะได้เจอหรือไม่ก็ต้องแล้วแต่ดวง’ ความคิดของสวี่ชิงขยับ ขบคิดว่าต่อไปบางทีอาจจะลองรับภารกิจที่มีความยากบางอย่างดู
และในตอนที่เขาครุ่นคิดอยู่ทางนี้ ลูกศิษย์พวกนั้นที่อยู่นอกหุบเขาก็พากันเดินเข้ามาในหุบเขา ช่วยยอดเขาที่สองถอดเตาหลอมและอาวุธเวท
เวลาไม่นานนักเมื่อทุกอย่างเตรียมการเรียบร้อย รอการดำเนินงานขั้นต่อไป ทุกคนก็มารวมตัวกันที่ค่ายกลตรงนั้น ในขณะที่รอคลื่นแรงดึงดูดจากสำนัก ตอนนี้ก็ต่างลอบประเมินสวี่ชิง กระซิบกระซาบวิพากษ์วิจารณ์
การดำรงอยู่ของสวี่ชิงเหมือนกลายเป็นบุคคลสำคัญของพวกเขา แม้ตอนนี้จะอยู่ในสนามรบ แต่จิตใจของคนทั้งหลายในหุบเขาล้วนมีความรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย
ในระหว่างนี้ภูเขาสั่นสะเทือนครืนครันหลายครั้ง เสียงดังก้องไปทั่ว นั่นคือการเหนี่ยวนำของระลอกคลื่นพลังของค่ายกลอื่นๆ
และไอพลังประหลาดที่นี่ก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
ในช่วงการรอคอยนี้ฟ้าก็ค่อยๆ มืดลง ชั้นเมฆในท้องฟ้าก็เปลี่ยนมาสลัวรางเลือน เหมือนมีอันตรายอะไรซ่อนอยู่
“ศิษย์พี่ ข้าเคยฝังตาค่ายกลไว้หลายแห่งที่เกาะแห่งนี้ ตอนนี้แม้จะถูกทำลายไปกว่าครึ่ง แต่ก็ยังสามารถมองเห็นภาพบางอย่างได้” ในตอนที่สวี่ชิงกำลังนั่งสมาธิ มือขวาของหญิงสาวร้อนแรงยอดเขาที่สองคนนั้นก็ยกขึ้นปิดอาภรณ์ที่ขาดวิ่นบริเวณหน้าอกเอาไว้ พลางเดินมาข้างกายสวี่ชิง แล้วเอ่ยเสียงเบา
แม้หญิงสาวคนนี้อาการบาดเจ็บจะสาหัส สีหน้าจะขาวซีด แต่ก็ยังยากจะปกปิดความงามได้ นางมีใบหน้าเรียว คิ้วงามโก่งสวย นัยน์ตาหงส์แฝงโศก เป็นหญิงสาวที่งดงามซึ้งนัก อายุประมาณสามสิบ เนื่องจากหลอมลูกกลอนอยู่เป็นประจำ กลิ่นลูกกลอนจากตัวนางเหมือนกับกู้มู่ชิง ล้วนหอมมาก
สวี่ชิงได้ยินดังนั้นก็มองไป
ไม่รู้ว่าหญิงสาวคนนี้ตั้งใจหรือไม่ เพราะสวี่ชิงนั่งอยู่ ส่วนนางยืน ดังนั้นเสี้ยวขณะที่สวี่ชิงเงยหน้า สายตามองตรงไปก็เห็นหญิงสาวคนนี้ให้มือปกปิดเสื้อผ้าที่ขาดแหว่งที่หน้าอก เพียงแต่มือของนางเหมือนจะปิดได้ไม่ตรงจุด
ผิวขาวราวหิมะข้างในท่ามกลางความวับแวมเหมือนซ่อนยอดเขาที่น่าตื่นตะลึงเอาไว้
สวี่ชิงเบนสายตาไปจับจ้องที่ใบหน้าของนางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ในเสี้ยวขณะที่ดวงตาของทั้งคู่ประสานกัน หญิงสาวยอดเขาที่สองคนนี้มองใบหน้าสวี่ชิงพลางสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นพลังจากตัวเขา จิตใจของนางก็เต้นเร็วขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้
แต่ไม่นานนักนางก็รู้ตัวว่าตัวเองเสียกิริยาแล้ว จึงรีบประสานปางมือ ทันใดนั้นก็มีภาพฉากหนึ่งปรากฏขึ้นข้างหน้านาง
ในภาพสามารถมองเห็นเผ่าสิงซากสมุทรจำนวนมหาศาลกำลังทยอยออกมาจากทะเลอย่างชัดเจน จำนวนมากมายมหาศาล ดูแล้วชวนประหวั่นพรั่นพรึงนัก
ขณะเดียวกันในพื้นที่หลายแห่งบนเกาะที่พวกเขาอยู่ตอนนี้ก็มีเงาร่างของผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรเช่นกัน
กระทั่งว่ามีจำนวนหนึ่งกำลังเข้ามาใกล้พวกเขาทางนี้แล้ว
“คลื่นแรงดึงดูดต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใด” สวี่ชิงถาม
“อีกประมาณหนึ่งร้อยอึดใจ!” คนที่ตอบสวี่ชิงไม่ใช่หญิงสาวคนนั้น แต่เป็นกู้มู่ชิงที่ตอนนี้สาวเท้ามาเร็วๆ
เหมือนว่าเดินมาค่อนข้างรีบร้อน เรือนผมงามจึงถูกสายลมเกี่ยวกะหวัด สะบัดปลิวน้อยๆ ตอนนี้จากการมาถึงก็มีปอยผมปลิวมาข้างหน้าพาดผ่านดวงหน้างามวิจิตร ช่างสวยยิ่งนัก
โดยเฉพาะดวงตาใสกระจ่างของนางยังมีกลิ่นอายความบริสุทธิ์เป็นธรรมชาติฉายจากภายในสู่ภายนอก ทำให้กู้มู่ชิงในตอนนี้เหมือนถูกวาดเป็นม้วนภาพงามวิจิตรภาพหนึ่ง
ตอนนี้เมื่อมาถึง นางก็มองหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ ก่อนจะคารวะอย่างแผ่วเบา
“คารวะอาจารย์อาหลี่”
หญิงสาวอมยิ้ม มองเด็กสาวข้างหน้าคนนี้อย่างมีความหมายลึกซึ้ง
พูดจบดวงตางามของกู้มู่ชิงก็มองไปทางสวี่ชิง
“ศิษย์พี่สวี่…”
สวี่ชิงมองกู้มู่ชิง
เห็นสวี่ชิงไม่ได้ถือสาคำเรียกนี้ของตน กู้มู่ชิงเบิกบานนัก เอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า
“ศิษย์พี่สวี่ นี่คือแผ่นหยกควบคุมลูกกลอนต้องห้ามของที่นี่ ท่านคือผู้ที่พลังบำเพ็ญสูงสุด สำนักต้องการกระตุ้นมันก่อนที่จะถอย ท่านเป็นผู้ตัดสินใจเถิด” กู้มู่ชิงพูดพลางยื่นแผ่นหยกให้สวี่ชิง
สวี่ชิงรับแผ่นหยกมา ไม่แปลกใจว่าทำไมแผ่นหยกจึงอยู่กับกู้มู่ชิงแทนที่จะอยู่กับผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานยอดเขาที่สองที่อยู่ข้างๆ เขารู้ว่าพวกชายชราเหล่านั้นของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ความจริงแล้วเชื่อในศิษย์หลักที่สุด
ดังนั้นจึงการจัดการเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
สวี่ชิงตอนนี้ถือแผ่นหยกเอาไว้ กวาดตามอง แต่ตอนนี้เอง นอกหุบเขาก็มีเสียงแหวกอากาศพุ่งมาอย่างรวดเร็ว เงาร่างของผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรกลุ่มหนึ่งจู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น แม้จะเห็นซากศพบนพื้น แต่สิงซากสมุทรก็ยังคงพุ่งมาหาพวกเขาทางนี้
สวี่ชิงไม่ได้เงยหน้าขึ้น ยังคงตรวจดูแผ่นหยกเช่นเดิมท่ามกลางความตื่นเต้นของคนทั้งหลายในหุบเขา
จากนั้นก็มีเสียงน่าสังเวชดังมาจากนอกหุบเขา เผ่าสิงซากสมุทรทุกตนที่เข้าใกล้มา ร่างล้วนมีสัญญาณเน่าเฟะปรากฏขึ้นทันที กระทั่งว่ามีบางตนเดินออกมาแค่สามสี่ก้าวก็ละลายกลายเป็นเลือดสีฟ้ากองหนึ่ง
ภาพนี้ทำให้ลูกศิษย์ทุกคนในหุบเขาต่างสีหน้าเปลี่ยนไป ใจประหวั่นพรั่นพรึง แต่ลูกศิษย์ยอดเขาที่สองเรียกสติกลับมาได้เร็วที่สุด พวกเขาแต่ละคนต่างมองไปที่โลกภายนอก ในขณะเดียวกันกับที่สีหน้าเปลี่ยนไปก็มองไปทางสวี่ชิง ตื่นตะลึงเป็นแย่ยิ่ง

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา