บทที่ 196 ความลับของเอ้อหนิว
คำพูดนี้ของสวี่ชิง สำหรับสวีเสี่ยวฮุ่ยแล้ว เป็นคำพูดที่นางซาบซึ้งที่สุดในช่วงหลายเดือนนี้ นางไม่ได้โกหก สิ่งที่พูดกับสวี่ชิงทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องจริง
และส่วนที่นางไม่ได้พูดออกมาก็คือความกล้ำกลืนกับความเจ็บปวดที่ตนเองจ่ายออกไปสืบเพื่อตอบแทนบุญคุณในช่วงหลายเดือนนี้ ตอนนี้นางไม่มีความรู้สึกใดๆ ว่าเป็นส่วนหนึ่งของเจ็ดเนตรโลหิตสำนักนี้เลย
ทว่านางก็ไม่ได้เกลียดผู้ใด นางเพียงแค่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนดีๆ อย่างศิษย์พี่จู่ๆ ถึงตายอย่างเวทนา นางเพียงแค่อยากทำเท่าที่ทำได้เพื่อตอบแทนบุญคุณของอีกฝ่ายเท่านั้น
บางครั้ง นางก็คิดว่าตนเองไปสืบหาอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนี้ มันคุ้มหรือไม่…แต่สวีเสี่ยวฮุ่ยก็รู้สึกว่า หากตนเองล้มเลิกไป เช่นนั้นบางทีก็เหมือนทอดทิ้งความอบอุ่นสุดท้ายในจิตใจไป
ความอบอุ่นนี้ เป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดหลังจากนางมาถึงเจ็ดเนตรโลหิต นางจึงไม่อยากทอดทิ้งไป
ดังนั้นต่อให้สวี่ชิงแผ่พลังออกมาประคองนางไว้ หลังจากที่พลังสลายไป นางก็ยังเลือกคุกเข่า ราวกับว่าสำหรับคนอ่อนแอแล้ว การคุกเข่าให้ผู้อื่นก็เหมือนเป็นการปลอบประโลมอย่างหนึ่ง
ในใจสวี่ชิงก็รู้สึกทอดถอนใจเช่นกัน
ตอนนี้จึงล้วงแผ่นหยกออกมาสื่อเสียง ส่งเสียงราบเรียบออกไปหาคนผู้หนึ่ง
“มาพบข้าหน่อย”
ผ่านไปไม่นาน ร่างเงาผอมเล็กร่างหนึ่งก็ทะยานมาจากซอยไกลๆ อย่างรวดเร็วในค่ำคืนนี้ มาหาสวี่ชิงด้วยความเร็วสูงสุดตลอดทาง
สวีเสี่ยวฮุ่ยก็สัมผัสได้ หันหน้าไปม่านตาหดลง
นางเห็นว่าคนที่มาเป็นเด็กคนหนึ่ง สวมเสื้อขนสุนัขอยู่ใต้ชุดนักพรตสีเทา ทั้งตัวดูโป่งพอง แต่ความเย็นชาในดวงตารวมถึงปราณพิฆาตบนร่างกายที่แผ่ออกมาก็เพียงพอทำให้คนมากมายที่เห็นใจสั่นสะท้าน
สวีเสี่ยวฮุ่ยสูดลมหายใจ นางเคยได้ยินเรื่องของคนที่ชอบสวมเสื้อขนสัตว์ใต้ชุดนักพรตคนนี้
นางรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้าใบ้ ครึ่งปีนี้มีชื่อเสียงไม่น้อย เป็นคนที่ในกรมปราบพิฆาตที่โดดเด่นขึ้นมาหลังจากสวี่ชิง ชื่นชอบการฆ่าสังหาร
คนร้ายประกาศจับที่ถูกเขาสังหารไปมีมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้เป็นแค่รวมปราณขั้นเจ็ด แต่อันที่จริงรวมปราณขั้นเก้าของสำนักเล็กๆ บางแห่งก็ตายอนาถด้วยน้ำมือเขามาแล้ว เพราะเจ้าใบ้คนนี้ดูไม่รักชีวิตยิ่งกว่าเจ้าพวกนั้นเสียอีก
เหมือนว่าสำหรับเขาแล้ว ชีวิตไม่ได้มีค่าอะไร หากแน่ใจว่าเป็นศัตรู เจ้าไม่ตายข้าก็ตาย
ดังนั้นหลังจากที่เห็นการมาเยือนของเจ้าใบ้ สวีเสี่ยวฮุ่ยก็หวาดผวาด้วยสัญชาตญาณเล็กน้อย
จนพริบตาต่อมา เจ้าใบ้ก็มาถึงที่นี่ ไม่แม้แต่จะชำเลืองมองสวีเสี่ยวฮุ่ย คุกเข่าไปทางสวี่ชิง ความบ้าคลั่งและยินดีที่เผยออกมาบนใบหน้าอย่างชัดเจน
“ไปสืบสาเหตุการตายของโจวชิงเผิงหน่อย ส่วนเรื่องรายละเอียด เจ้าสามารถใช้แผ่นหยกสื่อเสียงถามนางได้” สวี่ชิงชี้ไปทางสวีเสี่ยวฮุ่ย
เจ้าใบ้พยักหน้าอย่างแรง หันหลังเดินจากไป ไม่ถามคำถามใดกับสวีเสี่ยวฮุ่ยเลย
ราวกับว่าเรื่องนี้ในมุมมองของเขา การที่ตนเองออกไปจัดการหลังจากที่ถามผู้อื่น จะแสดงถึงความไร้ศักยภาพของตนเอง
สวี่ชิงมองแผ่นหลังเจ้าใบ้ผาดหนึ่ง ไม่พูดอะไร ยืนรอเงียบๆ อยู่ตรงนั้น
ตอนนี้แสงสายัณห์ลาลับแล้ว แสงตะวันลาลับที่ขอบฟ้าถูกหมึกย้อมจนกลายเป็นดำสนิท แสงจันทร์บางเบาก็ยากที่จะทำให้แสงตะวันปรากฏขึ้นอีกครั้ง ค่ำคืนค่อยๆ คืบคลานมา
และท่าเรือที่สวี่ชิงอยู่ เป็นสถานที่ที่เขาเลือกโดยเฉพาะ ที่นี่ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืนก็ล้วนเงียบสงบ ไม่มีใครเข้ามารบกวน
ขณะเดียวกันเจ้าใบ้ก็ไม่ปล่อยให้สวี่ชิงรอนาน ขั้นตอนทั้งหมดเพียงแค่เวลาสองชั่วก้านชั่วก้านธูป เจ้าใบ้ก็กลับมาคุกเข่าลงตรงนั้น ส่งแผ่นหยกชิ้นหนึ่งให้สวี่ชิงอย่างนอบน้อม
คำตอบที่สวีเสี่ยวฮุ่ยสืบหามาหลายเดือนและจ่ายออกไปชมหาศาลยังหาได้ยากเย็น สำหรับเจ้าใบ้แล้วใช้เวลาแค่สองชั่วก้านธูปเท่านั้น แน่นอนว่านี่ต้องเกี่ยวข้องกับกรมปราบพิฆาตด้วย
ขณะที่สวีเสี่ยวฮุ่ยกำลังตื่นเต้นนี้ สวี่ชิงก็รับแผ่นหยกมาตรวจสอบ
ด้านในตรวจสอบสาเหตุการตายของโจวชิงเผิงไว้ละเอียดยิบ สำหรับเรื่องเหล่านี้สวี่ชิงไม่สนใจ เขาแค่กวาดตาผ่านๆ และไปดูข้อมูลของคนร้าย
คนร้ายไม่ใช่ศิษย์ยอดเขาลำดับเจ็ด
คนผู้นี้ชื่อว่าหลี่เจ๋อหลิน เป็นศิษย์ล่างเขาของยอดเขาลำดับหนึ่ง พลังบำเพ็ญระดับรวมปราณขั้นเก้า ปกติเป็นคนมืดมน มีความอาฆาตพยาบาทรุนแรง
ในแผ่นหยกของเจ้าใบ้ยังทำเครื่องหมายว่ามีการตายของศิษย์ล่างภูเขายอดเขาอื่นอีกสิบเอ็ดคน ล้วนมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับคนผู้นี้
เพียงแต่ว่าคนผู้นี้ระวังตัวมาก ล้วนข้ามเขตแดนมาสังหาร และเป้าหมายที่เลือกทั้งหมดก็มักจะพอเหมาะพอเจาะมาก จึงไม่เกิดเรื่องยุ่งยากที่แก้ไขไม่ได้
ถึงอย่างไรในมุมมืดของเจ็ดเนตรโลหิตก็เกิดเรื่องนี้ขึ้นบ่อยๆ ขอแค่ไม่ทำโจ่งแจ้งเกินไป ขอแค่ไม่มีผู้แข็งแกร่งไปตรวจสอบสอบสวน เช่นนั้นหน่วยงานต่างๆ ในเจ็ดเนตรโลหิตก็จะไม่มาสนใจ
อย่างเช่นเรื่องของโจวชิงเผิง หากเขากับสวี่ชิงไม่ได้มีไมตรีต่อกันครั้งหนึ่ง เช่นนั้นเรื่องนี้เมื่อเขาตายก็คือตายไปเลย
และการสืบสวนของเจ้าใบ้ก็ละเอียดมาก นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ยังสืบได้กระทั่งตำแหน่งปัจจุบันของหลี่เจ๋อหลินคนนี้อีกด้วย รวมไปถึงเส้นสายของเขาในช่วงนี้
“อู๋เจี้ยนอูยอดเขาลำดับหนึ่งรับมาเป็นผู้ติดตาม เวลานี้อู๋เจี้ยนอูตอบรับคำเชิญไปที่หอตระหนักฝัน ส่วนว่าใครเชิญไม่อาจตรวจสอบได้ แต่หลี่เจ๋อหลินคนนี้กำลังคุ้มกันอยู่ด้านนอกหอตระหนักฝัน”
สวี่ชิงพยักหน้า จัดการส่งแผ่นหยกไปให้สวีเสี่ยวฮุ่ยที่กำลังกังวลอยู่ข้างๆ
หลังจากสวีเสี่ยวฮุ่ยรีบร้อนรับไปดูอย่างละเอียด ลมหายใจก็ถี่กระชั้นขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะตอนที่อ่านถึงช่วงท้ายสุดสีหน้านางก็ขาวซีด เงยหน้ามองสวี่ชิง สีหน้าแฝงความขมขื่นและสงสัย
“อาจารย์อาสวี่ เรื่องนี้…”
ตอนที่นางรู้ตัวคนร้ายจากเนื้อหาในแผ่นหยก ก็ได้รับรู้ด้วยว่าเบื้องหลังของคนร้ายคนนี้ยิ่งใหญ่มาก นางไม่แน่ใจว่าสวี่ชิงจะช่วยเหลือต่อไปหรือไม่
“ไปเถอะ” สวี่ชิงสีหน้าปกติ หลังจากเอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบก็เดินตรงไปเบื้องหน้า เจ้าใบ้ก็นำทางอยู่ไม่ห่าง สวีเสี่ยวฮุ่ยมองแผ่นหลังของสวี่ชิงอย่างงุนงง สูดลมหายใจลึก สะกดความตื่นเต้นในใจ เดินตามอยู่ด้านหลัง
หอตระหนักฝัน เป็นโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
ถือว่าเป็นหนึ่งในโรงเตี๊ยมที่เลื่องชื่อที่สุดแห่งหนึ่งในเขตท่าเรือ พื้นที่กว้างขวาง ปกติมีคนเข้าๆ ออกๆ ไม่น้อย เมื่อเทียบกับโรงเตี๊ยมของกรมคุ้มกันสมุทรแล้ว หอตระหนักฝันมีระดับสูงกว่าเล็กน้อย
โดยเฉพาะที่นี่มีอาหารวิญญาณเป็นหลัก ปกติถ้ากินเยอะหน่อย ไม่เพียงแต่ทำให้กายเนื้อแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังช่วยสลายไอพลังประหลาดอีกด้วย แม้จะเล็กน้อย แต่ถ้านานวันไปก็ถือว่าใช้ได้
ตอนนี้บนชั้นสองหอตระหนักฝัน มีคนสามคนกำลังนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวที่หรูหราห้องหนึ่ง
หากสวี่ชิงอยู่ที่นี่ ก็จะพบว่าเขาล้วนรู้จักสามคนนี้
คนหนึ่งคืออู๋เจี้ยนอูจากยอดเขาลำดับหนึ่ง คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามอู๋เจี้ยนอูคือนายกองที่ใบหน้าซีดขาว นายกองเวลานี้ไม่พรางตัวแล้ว มองรวมๆ ทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ถือว่าครบถ้วนสมบูรณ์ดี
อาการบาดเจ็บหายไปหมดแล้ว



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา