บทที่ 20 บ้านหรือ
สวี่ชิงกลับมาถึงเรือนพร้อมลมหิมะ ยังไม่ทันได้เข้าไป ก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างเบิกบานของหัวหน้าเหลยจากด้านใน
และตอนที่เสียงร้องขรมของสุนัขตามมา สวี่ชิงก็ผลักประตูเปิด ก็เห็นว่าในเรือนมีสุนัขป่าอยู่สิบกว่าตัว
พวกมันนอนจ้องมองสวี่ชิงอยู่ตรงนั้นอย่างเย็นชา สวี่ชิงเองก็กวาดตาไปทางพวกมัน ไม่ได้ปล่อยคมประกายดุดันอะไร เพียงแค่กวาดตามองเท่านั้น แต่สุนัขป่าสิบกว่าตัวก็ทยอยขนลุกตามกัน ถอยหลังช้าๆ
น้ำเสียงแปลกใจเบาๆ ดังลอดออกมาจากในห้องหัวหน้าเหลย
เมื่อประตูเปิด กางเขนกับเขี้ยวหงส์ก็เดินออกมา มองไปทางสวี่ชิง จากนั้นจึงมองไปยังสุนัขป่าสิบกว่าตัวนั้น กางเขนยิ้มเล็กน้อย
“เด็กน้อย พวกมันบอกว่าปราณพิฆาตบนตัวเจ้ามันแรงเกินไป” เขี้ยวหงส์ย่อตัวลง ลูบเบาๆ บนหัวสุนัขป่าข้างๆ ตัวหนึ่งพลางเอ่ยกับสวี่ชิงด้วยรอยยิ้ม
สวี่ชิงไม่ได้พูด มองไปยังหัวหน้าเหลยที่เดินออกมาจากห้องในขณะนั้น
หัวหน้าเหลยสวมเสื้อขนสัตว์ตัวหนา ในมือมีถุงยาสูบ ตอนเดินออกมาก็ชี้นิ้วไปทางเขี้ยวหงส์ เอ่ยอย่างจำใจ
“เขี้ยวหงส์เจ้าเด็กคนนี้ คิดว่าว่าข้ากำลังบาดเจ็บจึงกังวลเรื่องความปลอดภัยในฐานที่มั่น ดังนั้นเลยจะเอาสุนัขป่าสิบกว่าตัวนี้มาคอยปกป้องเรือนเสียให้ได้”
ประโยคนี้ง่ายดาย สวี่ชิงได้ฟังก็เข้าใจ
หัวหน้าเหลยไม่ได้บอกพวกเขาเรื่องเกี่ยวกับสวี่ชิง ก็เช่นเดียวกับสวี่ชิงที่ไม่ได้พูดเรื่องเสียงเพลง สิ่งที่หัวหน้าเหลยกระทำ เป็นการให้สิทธิ์ที่ว่าจะพูดเรื่องนี้หรือไม่ให้กับสวี่ชิงเช่นกัน
สวี่ชิงพยักหน้า ล้วงเอาถุงหนังลูกกลอนขาวออกมา ส่งให้หัวหน้าเหลย
หัวหน้าเหลยรับมามองยิ้มๆ ไม่ได้เกรงใจ
“เอาล่ะ เจ้าของพวกนี้ก็เป็นของที่ข้าก็ต้องการจริงๆ แต่ว่าหลังจากนี้ก็ไม่ต้องซื้อมา ข้าสะสมเอาไว้มากจนน่าจะเอาไปขายได้แล้ว” พูดจบ เขาจึงมองไปทางกางเขน
“กางเขน เด็กน้อยก็กลับมาแล้ว มีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะ”
กางเขนเก็บรอยยิ้ม สีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยขึ้นแช่มช้า
“ที่มาครั้งนี้มีอยู่สองเรื่อง
“เรื่องแรกคือยาของหัวหน้า ข้ากับเขี้ยวหงส์ซื้อไว้เรียบร้อยแล้ว มีปริมาณพอใช้ได้ราวหนึ่งเดือน หากกินหมดพวกข้าก็จะซื้อมาให้อีก” กางเขนพูดพลางปลดถุงหนังที่เอวใบหนึ่งออกมาวางไว้ข้างๆ
“เรื่องที่สอง เนื่องจากกลุ่มเงาโลหิตล่มสลาย แม้จะมีคนเก็บกวาดกลุ่มอื่นเข้าร่วมการเก็บเกี่ยวหญ้าเจ็ดใบก่อนหน้า แต่ก็ไม่มีใครได้มากเท่าพวกเรา
“เมื่อวานนี้ข้ากับเขี้ยวหงส์ไปเจรจากับหัวหน้าฐานเพื่อรับค่าตอบแทนแล้ว แต่…หัวหน้าฐานก็ยังชอบหักนั่นนี่ตามนิสัยปกติของเขา ไม่ได้ให้ลูกกลอนล้างธุลีมาสามเม็ด แต่ให้มาเพียงเม็ดเดียว” กางเขนพูดพลางมองไปทางเขี้ยวหงส์
เขี้ยวหงส์หยิบถุงหนังสี่ใบออกมา หลังจากวางลงข้างๆ แล้วก็หยิบกล่องไม้อีกใบออกมาเปิดออกต่อหน้าทุกคน เผยให้เห็นยาลูกกลอนสีเขียวขนาดไข่นกกระทาเม็ดหนึ่ง
กลิ่นยาอบอวลออกมา ยอดเยี่ยมกว่าลูกกลอนขาวอย่างเห็นได้ชัดมากมายนัก
“ผีเถื่อนไม่มีญาติ ส่วนของเขาข้าจึงจัดสรรปันส่วนแล้ว ในถุงหนังสี่ใบนี้คือเหรียญวิญญาณของพวกเราแต่ละคน ส่วนลูกกลอนล้างธุลีเม็ดนี้…”
กางเขนพูดถึงจุดนี้ มองไปทางหัวหน้าเหลย รอให้เขาจัดแบ่ง
“ให้เด็กน้อยเถอะ” หัวหน้าเหลยเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ พลังแห่งกลุ่มสายอัสนีบนตัวเขาในเวลานี้เหมือนว่าจะกลับมาบ้างแล้วบางส่วน
กางเขนพยักหน้า เขี้ยวหงส์หลังจากตกตะลึงก็ทำท่าทางเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง พวกเขาถามเรื่องก่อนหน้านี้กับหัวหน้าเหลยแล้วว่าในป่าเกิดอะไรขึ้น แต่หัวหน้าเหลยก็ไม่พูดอะไร การจัดสรรครั้งนี้จึงเป็นคำตอบอย่างชัดเจน
“ส่วนเรื่องผีเถื่อน…จัดแบ่งมาก็ถูกแล้ว พวกเราก็คือญาติของเขา”
หัวหน้าเหลยถอนหายใจออกมาเสียงหนึ่ง หยิบส่วนของตนเองมา กางเขนกับเขี้ยวหงส์เองก็หยิบส่วนของตนเองมาเช่นกัน สวี่ชิงไม่ส่งเสียง หยิบถุงหนังมาเหมือนกัน
สำหรับลูกกลอนล้างธุลีที่เขี้ยวหงส์ส่งให้ สวี่ชิงหลังจากรับมาก็มองหัวหน้าเหลยผาดหนึ่ง ดวงตาหัวหน้าเหลยเจือความเด็ดขาดรางๆ สายตานี้ทำให้สวี่ชิงเข้าใจความนัย จึงเก็บมาเงียบๆ
ทั้งสี่คนพูดคุยกันอีกพักหนึ่ง หลักๆ เป็นพวกกางเขนทั้งสามคนที่คุยกัน สวี่ชิงยังคงทำตัวเป็นคนพูดน้อยเหมือนที่เคยเป็น คอยนั่งฟังอย่างเงียบสงบอยู่ข้างๆ
แต่กางเขนหรือว่าเขี้ยวหงส์ก็ไม่มองข้ามตัวตนของสวี่ชิงเลย คอยหันมาถามไถ่ความเห็นของสวี่ชิงเป็นระยะ
เป็นเช่นนี้ เวลาก็ไหลผ่านไป ไม่นานก็ถึงช่วงกลางวัน กางเขนกับเขี้ยวหงส์ก็ขอตัว เพราะลมหิมะสงบลงแล้วชั่วคราว ก่อนหน้าที่จะไป กางเขนหันมาเอ่ยเสียงขรึมกับสวี่ชิง
“เด็กน้อย ข้ากับเขี้ยวหงส์รับภารกิจมา ต้องออกไปข้างนอกรอบหนึ่ง ช่วงนี้…หัวหน้าเหลยก็มอบให้เจ้าดูแลแล้ว” พูดพลางก็ล้วงเอากริชเล่มหนึ่งยื่นให้สวี่ชิง
“กริชของเจ้าสนิมเกรอะหมดแล้ว เปลี่ยนเป็นเล่มนี้เถิด คมมาก”
เขี้ยวหงส์เองก็มอบนกหวีดให้สวี่ชิงอันหนึ่ง
“เด็กน้อย เจ้ามีพลังต่อสู้แข็งแกร่งมาก แต่ก็ยังต้องการหูตากับลูกมือใช่หรือไม่ นกหวีดนี้สามารถควบคุมสุนัขป่าในฐานที่มั่นได้ง่ายๆ ถ้าหากถึงเวลาที่เจ้าต้องการ ก็แค่เป่ามันเสีย พวกมันฉลาดมาก รู้ว่าควรทำอะไร
ทั้งสองคนกำชับอยู่พักหนึ่ง ประสานมือไปทางสวี่ชิง จากนั้นก็ขอตัวจากไป
มองดูแผ่นหลังของพวกเขา สวี่ชิงเก็บนกหวีด จากนั้นก็นำกริชที่กางเขนให้มายัดลงไปในรองเท้าตนเอง แต่ว่าเล่มเก่าเขาก็ไม่ได้โยนทิ้ง
จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นจดจ้องไปยังแผ่นหลังของพวกเขา จนกางเขนกับเขี้ยวหงส์หายไปจากครรลองสายตา สวี่ชิงจึงหันหน้าไปมองห้องของหัวหน้าเหลย
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เดินผ่านสุนัขป่ากลับห้อง
หลับตาลง นั่งขัดสมาธิทำสมาธิ
ลมข้างนอกแรงมากจนมีเสียงหวีดหวิว พัดผ่านพื้นดิน หิมะบนฟ้ากับหิมะบนพื้นตัดสลับกันกลางอากาศ ลอดผ่านเข้ามาตามร่องที่มีอยู่หลายแห่งในกระโจม จนทำให้คนที่อยู่ด้านในตกใจสะดุ้ง
และก็พัดมาปะทะกับตัวหัวหน้าเหลยที่กำลังพักผ่อนในห้องด้วยเช่นกัน เพียงแต่เขาที่ชินแล้วจึงไม่ใส่ใจต่อลมหนาวนี้
แต่ในหัวกลับปรากฏภาพของสวี่ชิงที่ขดตัวอยู่ท่ามกลางลมหนาวขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงหันไปมองยังทิศทางห้องของสวี่ชิง นิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงสวมหมวกหนังแล้วเดินออกไปจากห้อง
เวลาเคลื่อนไหลผ่าน เพียงพริบตาก็สามวันเต็ม
ในสามวันนี้ เหมือนว่าหิมะจะใช้แรงเฮือกสุดท้ายตกกระหน่ำลงมา แผ่ซ่านความหนาวเย็นที่เหลืออยู่ หิมะบนพื้นเองก็ละลายไม่ทัน ทับถมกันจนกลายเป็นชั้นหนา
แม้สภาพอากาศจะเลวร้าย แต่สำหรับคนเก็บกวาดแล้ว ความอยู่รอดสำคัญกว่าความหนาวเย็นนัก
ดังนั้นในฐานที่มั่นจึงมีคนทยอยกันเข้ามามากขึ้น บ้างก็มารักษาโรค บ้างก็ตรงไปยังพื้นที่ต้องห้าม
ขณะเดียวกัน กลุ่มเงาโลหิตที่ไม่ได้กลับมานานแล้ว ทำให้คนเก็บกวาดค่อยๆ เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กัน ไม่เพียงแค่ข่าวลือที่ไม่รู้ลือออกมาจากที่ใด บอกว่ากลุ่มเงาโลหิตนั้นตายเรียบในพื้นที่ต้องห้ามหมดแล้ว
คราแรกคนเชื่อข่าวลือนี้กันไม่มาก ถึงอย่างไรสมาชิกของกลุ่มเงาโลหิตทุกคนก็มองข้ามไม่ได้ทั้งสิ้น
โดยเฉพาะหัวหน้ากลุ่มเงาโลหิตเป็นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งในกลุ่มคนเก็บกวาดของฐานที่มั่น คนแบบนี้เข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ความเป็นไปได้ที่ทั้งกลุ่มจะล้มสลายจึงมีไม่มากนัก
แต่หลังจากที่ผ่านไปสองวัน คนของเงาโลหิตก็ไม่ปรากฏตัวแม้เงา นี่ทำให้คนเก็บกวาดในฐานที่มั่นค่อยๆ เชื่อข่าวลือนั่นขึ้นมาแล้ว
และพวกเขาเองก็คิดถึงสภาพของหัวหน้าเหลยสลบไสลในวันที่กลับมาวันนั้น
เมื่อเชื่อมต่อไปยังเรื่องการหายตัวไปของผีเถื่อน ทั้งหมดก็เหมือนได้คำตอบแล้ว


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา