บทที่ 19 วิถีชีวิต
ฐานที่มั่นคนเก็บกวาด นอกจากของที่จำเป็นแล้ว สิ่งที่มีมากที่สุดก็คือของจำพวกเนื้อ
ทุกวันมีคนเก็บกวาดไปๆ มาๆ เพราะพื้นที่ต้องห้ามอยู่ใกล้ ดังนั้นเนื้อที่กินได้ จึงมีขายตามแผงในฐานที่มั่นอยู่มากมาย
ดังนั้นหลังจากได้ยินว่าสวี่ชิงอยากกินเนื้องู ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของหัวหน้าเหลยจึงคลี่ยิ้มออกมา
เขาเข้าใจว่าสาเหตุที่อีกฝ่ายบอกว่าจะกินงู เป็นเพราะคำพูดประโยคนั้นก่อนหน้าของตนเอง เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มตรงหน้านี้จดจำได้ขึ้นใจแล้ว
เขาจึงขวางสวี่ชิงไม่ให้ออกไปซื้อเนื้อ
“ในฐานที่มั่นคนกลุ่มนั้นปลิ้นปล้อนกันทุกคน เจ้ายังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องอสูรกลายพันธุ์ของพื้นที่ต้องห้าม คงถูกหลอกเอาง่ายๆ เดี๋ยวเกิดเรื่องบีบบังคับให้ซื้อขายขึ้นมา ข้าไปเองจะเสียดีกว่า” หัวหน้าเหลยพูดพลางลุกขึ้นยืน
พอได้ยินคำว่าบีบบังคับให้ซื้อขาย สวี่ชิงก็ลูบเหล็กแหลมในมือด้วยสัญชาตญาณ หลังจากครุ่นคิดก็ตอบอย่างตั้งใจ
“พวกเขาไม่มีทางทำได้หรอก”
หัวหน้าเหลยกวาดตามองเหล็กแหลม หัวเราะร่าออกมา ไม่พูดอะไรแล้วเดินออกไปจากเรือน
สวี่ชิงมองเงาของหัวหน้าเหลยพลางคิด จากนั้นจึงเดินไปเรือนข้าง หยิบเอาหม้อชามไปล้างจนสะอาด จากนั้นก็เช็ดและจัดโต๊ะ สุดท้ายเตรียมชามตะเกียบออกมาวางไว้ด้านบนสามชุด สวี่ชิงจ้องมองชามตะเกียบที่มีเกินมาหนึ่งชุดก็พลันเข้าใจอะไรขึ้นมา
“นั่นเป็นคนที่ไม่มีทางกลับมาแล้วตลอดกาล” ในหัวของเขาปรากฏคำพูดของหัวหน้าเหลยที่เคยเอ่ย หยิบชามตะเกียบชุดที่สามวางลงข้างๆ ชามตะเกียบของหัวหน้าเหลยอย่างเงียบๆ
เก้าอี้เองก็เช่นกัน
เมื่อทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ สวี่ชิงก็หันหน้าไปมองเรือนที่อยู่ด้านนอกประตู เวลานี้ท้องฟ้าเป็นเวลาโพล้เพล้แล้ว ลมที่พัดมาหนาวเย็นอยู่บ้าง เหมือนเจือเกล็ดหิมะอยู่บางๆ
ฤดูกาลช่วงปลายเดือนสาม ในทวีปหนานหวงส่วนตะวันออก แม้ผืนแผ่นดินจะกลับมาอบอุ่น สรรพสิ่งจะฟื้นคืน แต่เหมือนฤดูหนาวจะยังไม่ยินยอม บางครั้งก็ยังโปรยเกล็ดหิมะลงมา ดั่งจะบอกกับสรรพสิ่งว่ามันยังไม่ได้ไปที่ใด
ใต้ท้องฟ้าสีเทาตอนนี้ เกล็ดหิมะถูกสายลมพัดพาลอยไหวอยู่
ราวกับว่าขณะที่ร่วงหล่นซ่านกระจายลงสู่พสุธาบนโลกมนุษย์ ก็ถูกอุณหภูมิบนพื้นดินละลายลงอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายสิ่งที่เห็นก็คือกองโคลนที่กระจายอยู่เต็มพื้น
ไม่ว่าจะสูงส่งมาจากแห่งหนใด ไม่ว่าตนเองจะขาวสะอาดเพียงไหน แต่เมื่ออยู่บนโลกมนุษย์ ก็ยังต้องมีเศษธุลีและตะกอนผสมปนเปกันอยู่ ไม่แบ่งแยกกันและกัน
และไม่รู้ว่าในสายลมมีหิมะแฝงอยู่จึงทำให้มันเย็นมากขึ้น หรือว่าหิมะเข้าย้อมสายลมจนทำให้มันหนาวเหน็บกันแน่
เมื่อพัดผ่านพื้นดิน พัดผ่านฐานที่มั่นเวลานี้ ขณะที่พัดผ่านเรือนไม้ไผ่ สวี่ชิงก็รู้สึกหนาวขึ้นมา
แม้จะเป็นผู้บำเพ็ญ แต่ความหวาดกลัวต่อความหนาวเย็นที่สั่งสมมาในส่วนลึกของความทรงจำหลายขวบปีของตนเอง ก็ยังทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจในอากาศหนาวเย็นเช่นนี้นัก
จนกระทั่งเขามองเห็นเงาหนึ่งเดินขากะเผลกต้านลมผลักประตูเรือนเข้ามาท่ามกลางลมหนาว พริบตาที่เงาปรากฏขึ้น น้ำเสียงกลั้วหัวเราะก็ส่งลอดผ่านสายลมหนาวเข้ามา
“เด็กน้อย วันนี้เจ้าลาภปากเสียแล้ว ดูสิว่าข้าซื้ออะไรมา นี่คืองูดอกสีชาดเลยนะ เนื้องูตัวนี้นับว่ายอดเยี่ยม อีกเดี๋ยวข้าจะแสดงฝีมือให้เห็นเอง”
หัวหน้าเหลยหิ้วงูตัวหนึ่ง สาวเท้าก้าวใหญ่เดินไปยังเรือนข้าง
เมื่อสังเกตเห็นความเรียบร้อย การจัดวางโต๊ะเก้าอี้รวมถึงชามตะเกียบ โดยเฉพาะขณะที่มองเห็นสองชุดนั่นถูกวางอยู่ด้วยกันในเรือนข้าง นั้น บนหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของหัวหน้าเหลยก็มีรอยยิ้มออกมา มองสวี่ชิงอย่างลึกซึ้งผาดหนึ่ง
“อยากลองย่างงูหรือไม่” หัวหน้าเหลยถามขึ้น
“อยาก” สวี่ชิงตาเป็นประกาย เขากระหายใคร่รู้กับความรู้ที่ตนเองไม่มีทั้งหมด โดยเฉพาะงูย่างของหัวหน้าเหลยนั้นอร่อยมากจริงๆ
หัวหน้าเหลยยิ้ม เรียกสวี่ชิงไปข้างๆ แนะนำไปด้วย ทำไปด้วย
“งูนี้น่ะ ถ้าว่าตามหลักการคือต้องตัดหัวตัดหางเสียก่อน แต่คนพวกนั้นไม่รู้ ว่าหางงูมีส่วนใช้ระบายของเสียออก ดังนั้นจำเป็นต้องตัดทิ้ง แต่หัวงูขอแค่จัดการเรื่องพิษให้ดี ก็จะสามารถเพิ่มรสชาติโดยรวมของเนื้องู ซ้ำยังทำให้กลมกล่อมขึ้นอีกด้วย”
หัวหน้าเหลยพูดเรื่องการทำอาหารแล้วดูเบิกบานมาก
สวี่ชิงที่ฟังอยู่ข้างๆ ก็ตั้งใจมากเช่นกัน มองหัวหน้าเหลยล้างงูจนสะอาด ลอกหนังและเครื่องในออก จากนั้นก็สับมันเป็นท่อนๆ วางไว้ข้างๆ
“เด็กน้อยเจ้าต้องจำไว้ว่าเนื้อนี่เวลาเข้าปากจะมีรสชาติหลงเหลือหรือไม่ ก็ต้องไปดูที่น้ำแกง”
หัวหน้าเหลยพูดพลางเริ่มใช้หม้อดินต้มน้ำแกง ทั้งยังใส่สมุนไพรมากมายลงไปในน้ำแกงด้วย สุดท้ายหัวงูที่จัดการอย่างดีก็ถูกโยนลงไปในหม้อเช่นกัน
เมื่อทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ สวี่ชิงจึงกลืนน้ำลายเอื๊อกด้วยกลิ่นที่ฟุ้งกระจายไปทั่ว หัวหน้าเหลยเห็นเขาก็หัวเราะร่าออกมา จากนั้นจึงหยิบเอาหม้อที่ล้างสะอาดแล้ว เริ่มผัดเนื้องู
เพียงพริบตา กลิ่นหอมรุนแรงก็นำคลื่นความร้อนโชยซัดเข้ามาที่ใบหน้าพร้อมเสียงกึงกังกึงกังที่สะท้อนก้อง ขณะที่แผ่กำจายจนฟุ้งทั่วเรือนข้าง ก็พัดลอยออกไปด้วย
ราวกับพัดไอเย็นทั้งหลายมลายหายไปจนหมดสิ้น ท้องของสวี่ชิงส่งเสียงจ๊อกๆ ออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่ มองดูเนื้องูที่พลิกกลับไปกลับมา ดวงตาก็ยิ่งแข็งค้าง
เพียงไม่นาน หัวหน้าเหลยก็ใส่เนื้องูผัดด้วยไฟที่แผดเผาลงไปในหม้อดิน เมื่อปิดฝาก็มองไปทางสวี่ชิง
“เข้าใจหรือไม่”
ตาสวี่ชิงจ้องหม้อดินเขม็ง ออกแรงพยักหน้า รู้สึกว่าขั้นตอนทั้งหมดเขาเห็นไม่ได้ยากอะไรเลย
หัวหน้าเหลยคลี่ยิ้มบางเบา ขณะเดินออกจากเรือนข้าง กลับมาพร้อมกาสุราในมือสองใบ ใบหนึ่งโยนให้สวี่ชิง อีกใบหนึ่งถือไว้เอง ดื่มลงไปอึกหนึ่งก็เอ่ยชม
“ฐานที่มั่นไม่เคยขาดแคลนเนื้อ แต่สุรานี้ต่างหากที่เป็นของหายาก”
สวี่ชิงหยิบกาสุรา จ้องมองของเหลวขุ่นด้านใน เขาไม่เคยดื่มสุรามาก่อน
สิ่งนี้ถือเป็นของหายากอย่างที่หัวหน้าเหลยพูดไว้ ในถ้ำยาจกไม่มี มีเพียงคนใหญ่โตในเมืองเท่านั้นถึงจะได้ลิ้มรส
แต่เมื่อเห็นหัวหน้าเหลยสีหน้ามีความสุขตอนดื่มจนหมด สวี่ชิงยกขึ้นกรอกปากอย่างลังเล เมื่อดื่มไปแล้วก็ขมวดคิ้ว รู้สึกว่าทั้งปากเผ็ดร้อน แต่ก็ยังกลืนลงไป
ความร้อนวูบหนึ่งปรากฏขึ้นมาที่คอหอย ไหลลงไปในหลอดอาหาร จากนั้นก็ระเบิดแผ่กระจายอย่างรุนแรงไปทั่วทั้งร่างกาย กลายเป็นลมที่ทะลักอยู่ในปาก จนทำให้เขาต้องอ้าปากพ่นกลิ่นสุราออกมา
“ไม่อร่อยเลย” สวี่ชิงมองหัวหน้าเหลย
หัวหน้าเหลยพอได้ยินก็หัวเราะ ชี้ไปที่สวี่ชิง เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“เจ้ายังเด็กเกินไป ยังไม่รู้รสชาติของสุรา หลังจากนี้เมื่อเจ้าโต เจ้าจะชอบมันแน่นอน”
หัวหน้าเหลยพูดพลางจะคว้ากาสุราในมือสวี่ชิงแต่เขากลับหลบ
“ข้าจะลองอีก” สวี่ชิงเอ่ยขึ้นอย่างตั้งใจ จากนั้นก็ดื่มลงไปอีกอึก แม้คิ้วยังขมวด แต่เหมือนปรับตัวกับรสชาติแปลกๆ ได้แล้ว
ผ่านไปไม่นาน ขณะที่หัวหน้าเหลยล้อเลียนที่สวี่ชิงดื่มเหล้า เนื้องูก็เสร็จพอดี


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา