บทที่ 18 ปรมาจารย์ไป่
สวี่ชิงแบกหัวหน้าเหลยเดินตรงไป พลางล้วงลูกกลอนขาวจากถุงหนังออกมาแล้วป้อนให้กับเขา ไม่สนใจคนที่กำลังติดตามอยู่ด้านหลัง
บางทีอาจเป็นเพราะผลของลูกกลอนขาวหรือประสิทธิภาพของหญ้าเจ็ดใบ สีหน้าของหัวหน้าเหลยจึงบรรเทาเป็นสีเขียวคล้ำอย่างช้าๆ แล้ว
เพียงแต่ไอพลังประหลาดในร่างกายเขายังเข้มข้นเกินไป ทำให้ในเวลานี้ลูกกลอนขาวของสวี่ชิงยังไม่เพียงพอที่จะยับยั้งมันไว้ได้ทั้งหมด ดังนั้นจึงยังอยู่ในสภาพสลบไสล
เหตุการณ์ทั้งหมดที่ประสบในการเดินทางไปพื้นที่ต้องห้ามครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อเขามากอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้น…กลางดึกนี้ ขณะที่สวี่ชิงพบกับคนเก็บกวาดที่ถูกหมอกลวงตาห้อมล้อมเอาไว้อย่างสิ้นหวังครั้งแล้วครั้งเล่าระหว่างทาง จึงใช้ลูกกลอนขาวเป็นของแลกเปลี่ยน จากนั้นสวี่ชิงจะอนุญาตให้เดินตามหลัง ฟังเสียงเท้าของตนเพื่อเดินต่อ
แน่นอนว่าในนี้ก็มีคนที่หูตาคับแคบอยู่ด้วย แต่สุดท้ายคนเหล่านี้ก็ส่งเสริมให้พวกโชคดีที่ติดตามอยู่ด้านหลังยิ่งเคารพสวี่ชิงมากขึ้น
คนส่วนใหญ่ล้วนเดาออก ว่าเขาน่าจะเป็นคนที่พลังจิตแข็งแกร่งแต่กำเนิดแน่นอน
เพราะมีเพียงคนแบบนี้เท่านั้น จึงจะสามารถอยู่ในหมอกลวงตาได้โดยไม่รับผลกระทบ
สวี่ชิงก็ได้ยินเรื่องคนกลุ่มนี้จากเขี้ยวหงส์มาก่อนแล้ว และเป็นสิ่งแรกที่คิดไว้ว่าจะใช้ลูกกลอนขาวแลกกับการช่วยเหลือคน ดังนั้นเมื่อมีการบดบังทัศนวิสัยเช่นนี้อยู่ จึงไม่ต้องกังวลว่าความลับตัวตนจะถูกเปิดเผย
และลูกกลอนขาวมากกว่าสิบเม็ดที่รวบรวมมา ทำให้ในที่สุดสีหน้าของหัวหน้าเหลยก็ฟื้นฟูกลับมา สีดำคล้ำก่อนหน้าผ่อนคลายเป็นสีเขียวแล้ว แรงหายใจเองก็มีมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้พอสมควร
ขณะเดียวกัน สวี่ชิงก็พบว่าพลังที่สะท้อนกลับมาจากเงาตนเองนั้นก็ไม่ได้คงอยู่นานนัก
เมื่อเขาเดินไปเรื่อยๆ ปราณหมอกที่สัมผัสได้เบื้องหน้าเวลานี้ก็ค่อยๆ ไม่โปร่งใสเหมือนเคย แต่กำลังเปลี่ยนเป็นเลือนราง เหมือนว่าอีกไม่นาน ก็จะกลับไปอย่างที่คนอื่นๆ มองเห็น
โชคดีที่ตรงนี้ห่างจากโลกภายนอกไม่ไกลแล้ว
ดังนั้นแม้สายตาจะเริ่มเลือนราง แต่เพราะสวี่ชิงเพิ่มความเร็ว ขณะที่ความมืดบนท้องฟ้าค่อยๆ หายไป แสงแรกมาเยือน แสงอรุณสาดส่องลงมาบนพื้น เขาที่แบกหัวหน้าเหลยอยู่ ในที่สุดก็มองเห็นโลกภายนอกผ่านร่องกิ่งไม้ใบไม้อยู่ไม่ไกลแล้ว
สวี่ชิงเกิดคลื่นอารมณ์ ร่างกายไหววูบกระโจนไปยังเขตชายแดน ก้าวเท้าเดินออกจากป่า
พริบตาที่ก้าวข้ามเส้นเขตที่หนาวเย็น ลมด้านนอกก็นำเอาแสงตะวันอบอุ่นสาดลงบนร่างของสวี่ชิง
เพราะแสงตะวันจ้าเกินไป ดวงตาของเขาจึงหรี่ลงอย่างอดไม่อยู่ ยืนหายใจเอาอากาศโลกภายนอกเข้าไปลึกๆ ทีหนึ่งอยู่ตรงนั้น
คนติดตามเหล่านั้นด้านหลังของเขา ที่เข้าใกล้ชายแดนในขณะเดียวกัน สายตาก็ทยอยฟื้นฟูกลับมา
แต่ละคนล้วนพุ่งตัวออกไปอย่างตื่นเต้นเนื่องจากรอดตายหวุดหวิด
พริบตาตอนที่เยื้องย่างออกสู่โลกภายนอก พวกเขาล้วนดีใจลิงโลด มีชายชรากระทั่งคุกเข่าลงกับพื้น จูบลงไปบนดินโคลนเลยทีเดียว
และเวลานี้ในที่สุดพวกเขาก็มองหน้าสวี่ชิงชัดเสียที ทั้งยังเห็นหัวหน้าเหลยที่อยู่บนแผ่นหลังของสวี่ชิงด้วย
คนหน้าอาจไม่ใช่ทุกคนที่รู้จัก แต่คนหลังนั้นไม่มีใครไม่รู้จัก
ดังนั้นตอนที่ภาพของสวี่ชิงกับหัวหน้าเหลยสะท้อนบนดวงตาพวกเขา ตัวสวี่ชิงก็ทยอยๆ ปรากฏขึ้นในภาพความทรงจำ
“เด็กน้อย!”
“หัวหน้าเหลย!”
คนที่เดินติดตามสี่ห้าคนนี้ค่อยๆ รู้สึกสั่นสะท้าน แต่เมื่อสวี่ชิงกวาดสายตามา พวกเขาก็เงียบเสียงลงตามสัญชาตญาณ
การลงมือและความเย็นชาของสวี่ชิงกับคนที่คิดไม่ดีเหล่านั้นก็ทำให้พวกเขาหวาดผวาตลอดการเดินทางอยู่นานแล้วจริงๆ
สวี่ชิงถอนสายตากลับไม่สนใจพวกเขา ร่างกายไหววูบคิดจะพุ่งตรงไปยังฐานที่มั่น แต่ห่างออกไปตอนนั้นเอง ก็มีเงาคนสองคนพุ่งหวีดหวิวเข้ามาประชิดอย่างรวดเร็ว
เป็นกางเขนกับเขี้ยวหงส์ พวกเขากลับมาถึงก่อนจนรอต่อในฐานที่มั่นไม่ไหว จึงมารออยู่ที่ด้านนอกอย่างร้อนรน
พวกเขาเองก็หารือกันแล้ว ถ้าหากวันนี้พวกหัวหน้าเหลยยังไม่ออกมาก็จะกลับเข้าไปอีกครั้งเพื่อช่วยเหลือ
ดังนั้นหลังจากที่เห็นเงาของสวี่ชิง ทั้งสองคนจึงเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
และเมื่อสังเกตเห็นหัวหน้าเหลยที่อยู่บนหลังสวี่ชิง ม่านตาของกางเขนก็หดเล็กลง แต่พริบตาต่อมาก็กลายเป็นความอ่อนโยนขณะที่สายตาตกลงบนตัวของสวี่ชิง
เขี้ยวหงส์เองก็หน้าเปลี่ยนสี จิตสังหารแผ่กระจายกวาดไปทางคนที่ติดตามสวี่ชิงออกมา
คนเหล่านี้ล้วนหายใจถี่รัว ทยอยหวาดระแวง
“ไม่เกี่ยวกับพวกเขา ทั้งยังต้องขอบคุณพวกเขาด้วย ไม่เช่นนั้นเกรงว่าหัวหน้าเหลยคงทนมาจนถึงตอนนี้ไม่ไหว”
สวี่ชิงเอ่ยปาก ทำให้จิตสังหารของเขี้ยวหงส์สลายไป คนที่ติดตามเขาออกมาเหล่านั้นผ่อนลมหายใจ นอกจากความเคารพแล้วยังมีความซาบซึ้งแฝงอยู่ด้วยเมื่อมองไปยังสวี่ชิง ดังนั้นจึงประสานมือให้เขาแล้วต่างฝ่ายต่างแยกย้าย
หลังจากพวกเขาจากไป กางเขนก็คิดจะประคองตัวหัวหน้าเหลยให้ลงมาจากตัวสวี่ชิง แต่ก็ถูกสวี่ชิงห้ามไว้
“ให้หัวหน้าเหลยนอนต่ออีกหน่อยเถิด ข้ายังไหว” สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก
“ได้ พวกเรากลับฐานที่มั่นกัน พาหัวหน้าไปหาหมอก่อน” กางเขนพยักหน้า ล้วงเอาลูกกลอนขาวมาป้อนให้หัวหน้าเหลย ส่วนเขี้ยวหงส์ก็คอยประกบซ้ายประกบขวา ทั้งสามคนทะยานตัวกลับไปยังฐานที่มั่น
ระหว่างทางเขี้ยวหงส์คิดจะเอ่ยปากอยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็อดถามขึ้นมาประโยคหนึ่งไม่ได้
“ผีเถื่อนล่ะ กลุ่มเงาโลหิตยังไล่โจมตีอยู่หรือไม่”
สวี่ชิงนิ่งงัน ครู่หนึ่งจึงเอ่ยตอบเสียงเบา
“ผีเถื่อนต่อสู้จนตัวตาย กลายพันธุ์ไปแล้ว”
ประโยคนี้ทำให้เท้าของกางเขนกับเขี้ยวหงส์ชะงัก สีหน้านิ่งงัน ต่อให้พวกเขาเตรียมใจมาแล้ว แต่ในดวงตาก็ยังโศกเศร้ามากขึ้นเรื่อยๆ เขี้ยวหงส์ถึงขั้นมีอาการเหม่อลอยออกมาเลยทีเดียว
จนประโยคต่อมาของสวี่ชิง ก็ทำให้คนทั้งสองสั่นสะเทือนขึ้นฉับพลัน มองไปทางสวี่ชิงอย่างไม่อยากเชื่อ
“กลุ่มเงาโลหิต ตายหมดแล้ว”
สวี่ชิงก้มหน้าต่ำ เอ่ยขึ้นแช่มช้าระหว่างที่เดิน


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา