บทที่ 17 เจ้า คืออะไรกันแน่
บางทีอาจเป็นเพราะเสียงเพลงในอาณาเขตพื้นที่ป่าผืนนี้ เสียงคำรามของอสูรกลายพันธุ์จึงไม่ปรากฏออกมา ราวกับว่าที่มาของเสียงเพลงคือผู้ปกครองพื้นที่ต้องห้าม
หลังจากมันปรากฏออกมา สรรพสิ่งก็ล้วนนิ่งงัน
หัวหน้าเหลยยังคงนั่งนิ่งมองออกไปด้านนอกอยู่ตรงนั้น ซึ่งจุดที่มองไปนั้นมีแต่ความมืดมิด ไม่มีอะไรอยู่เลย
สวี่ชิงสีหน้าซับซ้อน ครู่ต่อมาสายตาก็กวาดไปรอบทิศ สุดท้ายก็ไปตกอยู่บนกระบองเขี้ยวหมาป่ารวมไปถึงชิ้นส่วนเศษโล่ที่แตกหักของผีเถื่อน
ศพของผีเถื่อนกลายเป็นฝุ่นผงหลังจากที่ปราณหมอกของเสียงเพลงจากไปเหมือนกับศพทั้งหมดที่นี่ ราวกับว่าไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลกมาก่อน
และคนเก็บกวาดเองก็มักจะไม่ค่อยมีญาติมิตร ดังนั้นถึงพวกเขาสลายหายไป บางทีอาจจะมีคนที่ใส่ใจอยู่ไม่มาก
ต่อให้มี ก็คงจะค่อยๆ หลงลืมไปตามการไหลผ่านของกาลเวลาอยู่ดี จนไม่กี่ปีผ่านไป ก็ไม่มีใครล่วงรู้ ไม่มีใครจดจำได้อีก
จู่ๆ สวี่ชิงก็คิดถึงถ้ำยาจก อาจารย์สอนหนังสือที่ดีกับเขาคนนั้น ช่วงชีวิตสุดท้ายก่อนตายเคยพูดเอาไว้ประโยคหนึ่งกับพวกเขาว่า
“ในใจมีคนที่ลืมไม่ลง ถือเป็นความเจ็บปวดอย่างหนึ่ง แต่ถูกคนจดจำไว้ในใจ จึงจะเป็นความสุขอย่างหนึ่ง”
ตอนนั้นสวี่ชิงยังไม่ค่อยเข้าใจกับประโยคนี้นัก แต่เวลานี้เขามองไปทางหัวหน้าเหลย ก็เหมือนจะเข้าใจถึงความหมายขึ้นมาบ้างแล้ว จึงไม่เข้าไปรบกวน แต่เดินไปยังจุดที่ศพของผีเถื่อนเคยอยู่เงียบๆ หยิบกริชออกมาเริ่มขุดพื้นดิน
ถึงแม้จะรู้จักกับผีเถื่อนไม่นานนัก พูดให้ถูกคือแค่ไม่กี่วัน สนทนากันแค่ไม่กี่ประโยค แต่ประสบการณ์ในป่าที่อีกฝ่ายถ่ายทอดให้แก่ตน ข้ามผ่านความเป็นความตายจากฝูงหมาป่ามาด้วยกัน สุดท้ายยังหยิบยืมสิ่งของของอีกฝ่ายเพื่อต้านทานกับเลือดดำ ดังนั้นสวี่ชิงจึงรู้สึกว่าตนเองควรจะทำอะไรเสียหน่อย
เหมือนตอนที่เขาจัดการฌาปนกิจศพทั้งหมดก่อนจะออกจากเมือง เขาค่อยๆออกแรงขุดดินโคลนบนพื้นมาหนึ่งหลุม หยิบเอากระบองเขี้ยวหมาป่ารวมไปถึงชิ้นส่วนโล่ฝังลงไปด้วยกัน
สวี่ชิงตั้งใจอย่างมากในขั้นตอนนี้ จนไม่ทันได้สังเกตว่าหัวหน้าเหลยที่อยู่ด้านหลังถอนสายตาที่มองไปทางป่ากลับมาตั้งแต่เมื่อไร และตอนนี้กำลังจ้องมองเขา
ดวงตาปรากฏความประหลาดใจเหมือนตอนที่เห็นสวี่ชิงครั้งแรกในซากเมือง หลังจากเห็นสวี่ชิงกลบฝังอาวุธผีเถื่อนเรียบร้อยและเหมือนจะทำป้ายหลุมศพให้ เลยตุ้ยจึงเอ่ยขึ้นแผ่วเบา
“คนเก็บกวาดไม่จำเป็นต้องมีป้ายหลุมศพ”
“ธุลีสู่ธุลี ดินสู่ดิน นี่คือชีวิตของคนเก็บกวาด ตอนมีชีวิตดิ้นรนอยู่บนโลก หลังจากตาย…ก็ไม่จำเป็นต้องกราบไหว้ แค่สงบสุขก็เพียงพอแล้ว”
พูดถึงตรงนี้ กลิ่นอายของหัวหน้าเหลยก็ดูอ่อนแรงลงเรื่อยๆ ความหนักหนาของอาการบาดเจ็บ การสะสมของไอพลังประหลาดรวมไปถึงจิตใจที่ถูกล้วงจนกลวงโบ๋ ทำให้เขาทนอีกไม่ไหว โลกค่อยๆ มืดมัว หลับตาสลบไสลไป
สวี่ชิงเดินเข้าไปใกล้ หยิบหญ้าเจ็ดใบบางส่วนออกมาจากถุง ยัดเข้าไปในปากของหัวหน้าเหลย
เขาไม่รู้ว่ามีประโยชน์หรือไม่ แต่คิดว่าสิ่งนี้เป็นของจำเป็นในการสร้างลูกกลอนขาว อย่างน้อยก็น่าจะมีประโยชน์ในการบรรเทาไอพลังประหลาดลงมาบ้าง
เมื่อสิ่งเหล่านี้เสร็จสิ้น เขาก็แบกหัวหน้าเหลยขึ้นหลังโดยใช้เสื้อผ้ามัดเขาเอาไว้กับตัวเองแน่น จากนั้นจึงสูดหายใจลึก พุ่งทะยานตัวอย่างรวดเร็วในป่ายามราตรี
ขณะผ่านจุดที่หัวหน้าเงาโลหิตสลายกลายเป็นฝุ่น สวี่ชิงมองเห็นถุงหนังใบหนึ่ง จึงเก็บขึ้นมาเปิดดู ด้านในไม่มียาลูกกลอน มีเพียงของสัพเพเหระบางส่วนเท่านั้น ดังนั้นจึงจัดเก็บแล้วไหววูบพุ่งจากไป
ขณะจิตสำนึกที่อ่อนแอของหัวหน้าเหลยฟื้นฟูขึ้นมาเล็กน้อยก็ผ่านไปถึงครึ่งชั่วยามแล้ว
เขาสัมผัสได้จากการกระโจนขึ้นลงว่าตนเองถูกร่างผอมเล็กแบกเอาไว้อยู่รางๆ จึงค่อยๆ ลืมตา มองเห็นใบหน้าด้านข้างของเด็กหนุ่ม
เขานิ่งงันไป
สวี่ชิงเองก็รู้สึกได้ว่าหัวหน้าเหลยตื่นแล้ว เอ่ยขึ้นเสียงต่ำว่า
“ดีขึ้นบ้างหรือยัง ท่านนอนต่ออีกหน่อยก็ได้ ยังมีเวลาอีกหลายชั่วยาม ก่อนฟ้าสางพวกเราก็น่าจะออกจากพื้นที่ต้องห้ามแล้ว”
หัวหน้าเหลยไม่พูดจา ร่างกายที่อ่อนแอยิ่งเผยความแก่ชราที่ไม่อาจปิดบังได้ เขาพยายามเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ดำมืด ดวงตาค่อยๆ เลือนราง ตอนที่จิตสำนึกกำลังจะสลบไสลอีกครั้ง เขางึมงำเสียงเบาว่า
“เด็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงเอ่ยชวนเจ้าให้มาด้วยกันถึงสองรอบที่ซากเมืองนั้น”
ร่างสวี่ชิงไม่ได้หยุดเคลื่อนไหว ส่ายศีรษะ
“แล้วเจ้าจำสถานที่ที่เราพบกันครั้งแรกได้หรือไม่” หัวหน้าเหลยเสียงอ่อนแรง
“จำได้” สวี่ชิงเคลื่อนไหวร่างกายกระโจนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มือขวายกขึ้นตะปบ จัดการคว้าแมงป่องกลายพันธุ์ที่พุ่งออกมาจากที่ซ่อนตรงนั้นขว้างลงไปบนพื้นด้านหน้า
เสียงปึงดังขึ้น เถาวัลย์มากมายบนพื้นเข้าพันบิดตัวแมงป่องที่ตกลงไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างที่มันดิ้นรน เถาวัลย์ก็แทงทะลุผิวหนัง กลืนกินเลือดและเนื้อลงไป
สวี่ชิงใช้โอกาสนี้กระโจนตัวขึ้น เลี่ยงจากอันตรายแล้วเดินหน้าต่อ
เวลานี้ด้านหลังมีเสียงไร้เรี่ยวแรงของหัวหน้าเหลยดังงึมงำ เสียงอ่อนแรงจนหากไม่เข้าไปใกล้ก็ฟังแทบไม่ออก
“ข้าเห็นเงาเจ้าที่กำลังฌาปนกิจศพ ตอนนั้นเจ้าที่มีเปลวเพลิงอยู่ข้างกายถูกแสงไฟสะท้อนราวกับหลอมรวมเข้าด้วยกัน จนทำให้ข้าเหมือนกับมองเห็น…ความอบอุ่นสายหนึ่งในโลกที่โหดร้ายนี้”
สวี่ชิงหยุดเท้า นิ่งงันไป หัวหน้าเหลยที่อยู่ด้านหลังเองก็สลบไสลไปอีกครั้ง
ผ่านไปหลายอึดใจ สวี่ชิงจึงยกเท้าขึ้นเงียบๆ ทะยานต่อไปในป่า พุ่งผ่านต้นไม้ออกไปอย่างรวดเร็ว
เวลาผ่านไป เพียงไม่นานก็ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม
สวี่ชิงเบี่ยงเลี่ยงอันตราย ร่างกายใกล้ขอบชายป่าขึ้นเรื่อยๆ
ตอนนี้ท้องฟ้าเป็นช่วงที่มืดสนิทที่สุด ความหนาวเย็นยามราตรีบุกรุกมาทุกทิศทางจากพื้นที่ต้องห้าม โชคดีที่สวี่ชิงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วอยู่ตลอด ร่างกายสร้างความร้อนขึ้นมาโดยสัญชาตญาณจึงต้านทานความหนาวเย็นได้เล็กน้อย
เพียงแต่…ขณะที่เขาเร่งรุดไปข้างหน้า ความหนาวเย็นนี้ก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังผ่านไปหนึ่งชั่วก้านธูป ร่างของสวี่ชิงก็หยุดลงฉับพลัน จ้องมองด้านหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ด้านหน้าเขาปรากฏหมอกผืนใหญ่มาจากในป่า
ปราณหมอกเข้มข้นมากนี้แผ่ซ่านมาจากที่ไกลๆ แต่แตกต่างกับหมอกเลือดเสียงเพลงที่สวี่ชิงเห็นมาก่อนหน้า มันราวกับไม่มีแรงกดดันที่รุนแรงนัก
เพียงแต่เมื่อมองไปยังจุดที่ถูกปราณหมอกปกคลุมล้วนเลือนรางไปหมด จนไม่อาจมองบริเวณรอบๆ ได้ชัดเจนนัก
โดยเฉพาะการบดบังของปราณหมอกยิ่งรุนแรงขึ้นในราตรียามนี้ สวี่ชิงคิดจะหลีกเลี่ยง แต่เขาวิ่งอย่างเร็วมานานแล้ว สิ่งที่เห็นก็ยังเป็นเพียงปราณหมอกที่รุกคืบเข้ามา
เขารู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร
กางเขนกับเขี้ยวหงส์เคยพูดไว้ขณะที่เพิ่งเข้ามาในพื้นที่ต้องห้ามว่า อันตรายในพื้นที่นี้มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าหมอกลวงตา
ถ้าหากถูกหมอกนี้ปกคลุม ผู้คนจะสูญเสียทัศนวิสัยและหลงทางไปในที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้นหากปราณหมอกนี้ก่อตัวขึ้นมา ก็ต้องใช้เวลานานมากถึงจะสลายไปเอง
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา