บทที่ 202 อะไรที่เรียกว่าอันดับ!
“จับกุมหรือ” เด็กสาวชุดดำได้ยินก็หัวเราะขึ้นมา แต่ในเสี้ยวพริบตาที่เสียงหัวเราะดัง เสียงแต่ละเสียงจากทั่วทุกมุมในท่าเรือที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกก็ดังมาพร้อมกัน
“น้อมรับคำบัญชา!”
จากเสียงที่ดังขึ้น ก็เป็นเงาร่างแต่ละร่างๆ พุ่งออกมาจากทั่วทุกมุม มีมากถึงพันกว่าร่าง ปิดล้อมท่าเรือที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบหกเอาไว้ทั้งหมด
“กับแค่ระดับรวมปราณคิดจะปิดล้อมข้าหรือ ข้าจะฆ่าให้เจ้าดูสักสามสี่คนก่อนเลย!”
ในดวงตาของเด็กสาวชุดดำฉายจิตสังหารออกมา ไฟชีวิตในร่างติดขึ้นทันที ไฟชีวิตสามดวงท่วมฟ้าในพริบตา ความเร็วของนางปะทุ ทะยานตัวสู่ท้องฟ้าพุ่งไปหาลูกศิษย์กรมปราบพิฆาตที่ดาหน้าเข้ามาพวกนั้น
สวี่ชิงมองไปอย่างเย็นชา ยกป้ายฐานะขึ้นสูง เอ่ยเสียงราบเรียบ
“สวี่ชิงรองเจ้ากรมปราบพิฆาตขอใช้ค่ายกลของสำนัก ผนึกน่านฟ้าเหนือท่าเรือที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบหก หากมิใช่ผู้บำเพ็ญของสำนัก ณ บริเวณนี้ห้ามมิให้บิน!”
สวี่ชิงพูดจบ เสียงระฆังก็ดังมาจากทุกสารทิศ ในขณะที่ดังก้องไปทั่ว พลังค่ายกลสำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็ปะทุขึ้นมาปกคลุมที่แห่งนี้ ทำให้เด็กสาวชุดดำที่กำลังบินอยู่กลางอากาศหน้าเปลี่ยนสีทันที
เสียงวูมดังขึ้นในร่างของนาง ถูกพลังไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งสะกด เข้าห่อหุ้มทั่วทั้งร่างทันที และบังคับกดบนพื้น ไม่อาจทะยานขึ้นบนฟ้าได้แม้เพียงเล็กน้อย กระทั่งว่าไฟชีวิตในร่างของนางก็จวนเจียนจะมอดดับภายใต้การสะกดนี้
“เจ้าบังอาจนัก!” เด็กสาวแม้จะถูกควบคุม แต่จิตสังหารในดวงตาไม่ใช่แค่ไม่ลดลง แต่กลับเข้มข้นขึ้น จิตสังหารทั้งตัวท่วมฟ้า
สวี่ชิงไม่ได้โกหก ก่อนหน้านี้ที่เด็กสาวคนนี้กำเริบเสิบสานและไม่มีใครขัดขวางได้ เพราะระเบียบและกฎในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตเข้มงวดมาก แทบจะไม่มีเรื่องแหกกฎเกิดขึ้น นอกเสียจากเจ้าหน้าที่ในกรมระดับล่างไม่สามารถจัดการได้ ตัดสินใจรายงานขึ้นมา ไม่เช่นนั้นแล้วระดับผู้บังคับบัญชาของกรมจะไม่มีทางลงมาร่วมด้วยเด็ดขาด
ทั้งสำนักเจ็ดเนตรโลหิตดำเนินไปด้วยระบบกฎเกณฑ์นี้ มีละเว้นบ้างเป็นบางครั้ง
“ที่นี่ลูกศิษย์นอกสำนักห้ามมิให้จุดไฟชีวิตดวงที่สอง!”
สวี่ชิงมองเด็กสาวที่โกรธเดือดดาลอย่างเย็นชา ไม่จำเป็นต้องให้เขาลงมืออะไรเกินสมควรเลย อาศัยอำนาจหน้าที่ของกรมปราบพิฆาตและฐานะอันดับของตัวเอง ในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตเขาก็เหมือนมีพลังกฎเกณฑ์
และเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะสวี่ชิงค้นพบได้อย่างเฉียบคมว่ามีสายตามากมายจากทั่วทุกสารทิศจับจ้องมาที่นี่ เขาไม่อยากเปิดเผยความลับของตัวเองบางอย่างเพราะการลงมือครั้งนี้
ตอนนี้จากคำพูดของเขาที่ดังออกมา ค่ายกลสำนักเจ็ดเนตรโลหิตดังครืนครันทันที พลังไร้รูปร่างเข้าปกคลุมอีกครั้ง ในขณะที่เด็กสาวชุดดำสีหน้าคลุ้มคลั่ง จากเสียงดังครืนครันของค่ายกล ไฟชีวิตดวงที่สามในร่างก็มอดดับทันที!
ส่วนไฟชีวิตดวงที่สองก็ถูกบังคับดับลงในเสี้ยวพริบตาเช่นกัน!
เหลือเพียงไฟชีวิตหนึ่งดวงที่กำลังลุกไหม้อยู่เท่านั้น และภายใต้การสะกดเช่นนี้ สำหรับเด็กสาวชุดดำแล้วก็เป็นการย้อนกลับของพลังในระดับหนึ่งเช่นกัน นางกระอักเลือดออกมา เส้นเลือดที่หน้าผากของนางปูดโปนไปทั่ว จิตสังหารในดวงตาน่าสะพรึง
คนทั้งคนโกรธจนควันออกหู ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง
เสี้ยวขณะต่อมา สวี่ชิงเคลื่อนไหวแล้ว เจ้าเงาอำพรางตะเกียงแห่งชีวิต ความเร็วของเขาน่าตื่นตะลึงภายใต้ไฟชีวิตสองดวงของสวี่ชิงในสภาวะแสงนภา แหวกอากาศไปหา เมื่อมาถึงข้างหน้าเด็กสาว ฝ่ามือหนึ่งก็ซัดไป
เสียงผัวะดังขึ้น เด็กสาวคนนี้กระอักเลือดคำโตออกมา ใบหน้าด้านขวาบวมปูด ฟันหลายซี่พุ่งออกมา ร่างของนางยิ่งกระแทกไปที่สิ่งก่อสร้างข้างๆ
สวี่ชิงก้าวออกไป รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เพียงพริบตาก็มาอยู่ต่อหน้านาง ขาข้างหนึ่งเหยียบลงไป
ทั่วร่างของเด็กสาวประกายแสงกะพริบวูบ จี้ห้อยคอบนหน้าอกของนางกะพริบวูบวาบในขณะนี้ ทำให้รอบตัวนางมีเกราะป้องกันปรากฏขึ้น เสียงบึ้มดังขึ้น ขาขวาที่เหยียบลงมาของสวี่ชิงถูกสกัด
และเด็กสาวคนนั้นก็อาศัยช่วงการสกัดกั้นนี้คลานออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเหี้ยมเกรียม แววตาบ้าคลั่ง กระชากจี้ออกมา สีหน้าฉายความโหดเหี้ยมออกมา
“ลูกศิษย์นอกสำนักที่นี่ ห้ามมิให้ใช้ของวิเศษอาวุธเวททุกอย่าง!”
สวี่ชิงเอ่ยเสียงราบเรียบ ค่ายกลประทับลงมาอีกครั้ง
แสงป้องกันบนร่างเด็กสาวก็แตกสลายท่ามกลางเสียงดังสนั่น เลือดสดๆ ของนางไหลออกมา ทั้งตัวกระเซอะกระเซิง ส่งเสียงน่าสังเวชไม่ยอมจำนวน จ้องสวี่ชิงเขม็ง
“มีปัญญาก็มาสู้กับข้าอย่างผ่าเผย!”
“โง่เง่า” สวี่ชิงร่างไหววูบก็มาอยู่ใกล้ข้างหน้าเด็กสาว ฝ่ามือหนึ่งซัดลงมาอีกครั้ง เด็กสาวกระเด็นออกไปอีกหน กระทั่งว่าฟันแหลกไปอีกหลายซี่ และในชั่วเสี้ยวขณะที่นางร่วงลงพื้น นางก็เอาแผ่นหยกชิ้นหนึ่งออกมาแล้วบีบแหลก ทันใดนั้นพลังส่งข้ามก็แผ่มา
“ลูกศิษย์นอกสำนักที่นี้ห้ามมิให้ส่งข้าม” สวี่ชิงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง
ค่ายกลสำนักเจ็ดเนตรโลหิตประทับลงมาอีกครั้ง ทำลายร่องรอยการส่งข้ามทุกอย่าง ทำให้ในดวงตาของเด็กสาวฉายความโกรธและอัดอั้นออกมา กำลังคิดจะเอ่ยปาก แต่สวี่ชิงมาถึงข้างหน้านางแล้ว และตบลงมาอีกครั้ง
เสียงเพี๊ยะดังขึ้น เด็กสาวชุดดำกระอักเลือด ร่างทรุดฮวบลงไป แต่สีหน้ายังคงเหี้ยมเกรียมเช่นเดิม ความโกรธแค้นก็ยังรุนแรงสุดขีด เหมือนต่อให้นางตายก็ไม่มีทางยอมจำนนแม้เพียงเล็กน้อย
สวี่ชิงมองเด็กสาวคนนี้อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง หลักการของเขาคือทำลายทุกสิ่งที่เป็นภัยคุกคามต่อชีวิตตัวเอง แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่
ทำเรื่องแบบนี้ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ นำความยุ่งยากและอันตรายใหญ่หลวงมาให้ตัวเองจากการนั้น นี่ไม่ใช่หลักการ แต่คือความโง่เขลา
ดังนั้นจิตสังหารในดวงตาจึงเก็บลงไป มือขวายกขึ้นซัดลงมา ท่ามกลางความเดือดดาลของเด็กสาวคนนั้นก็ตบลงมาที่ศีรษะของอีกฝ่าย เสียงบึ้มดังขึ้น เด็กสาวคนนี้กระอักเลือดอีกครั้ง ไฟชีวิตเพียงดวงเดียวในร่างมอดดับ ทั้งตัวภายใต้การลงมือของสวี่ชิงก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส สลบไปทันที
ระดับอาการบาดเจ็บของนางพอๆ กับลูกศิษย์ที่ถูกนางซัดบาดเจ็บสลบไปพวกนั้น
ลงมือพวกนี้เสร็จ สวี่ชิงก็ยืนอยู่กับที่ คว้าผมของนาง หันหน้าไปเอ่ยอย่างสงบนิ่ง
“สวมห่วงเวท!”
ทันใดนั้น ข้างหลังเขาก็มีลูกศิษย์กรมปราบพิฆาตหลายสิบร่างบินมาทันที แต่ละคนในตอนที่มองมาที่สวี่ชิงล้วนมองมาด้วยความเคารพยำเกรง หลังจากเข้ามาใกล้ก็หยิบวัตถุที่เหมือนกำไลออกมา แล้วสวมไปที่แขนของนาง
แต่เสี้ยวขณะต่อมา เด็กสาวพลันลืมตาขึ้น คำรามเสียงต่ำ ห่วงเวทบนแขนแหลกละเอียดทันที
เด็กส่วหัวเราะบ้าคลั่งออกมา
“สวี่ชิง ข้าจำเจ้าไว้แล้ว ไม่เคยมีใครกล้าหยามหมิ่นข้าถึงเพียงนี้ เจ้าเป็นคนแรก!” เพิ่งพูดจสวี่ชิงก็เดินไปด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ แล้วตบไปอีกที
เสียงเพี๊ยะดังขึ้น ศีรษะของเด็กสาวกระแทกพื้น สลบไปจริงๆ


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา