บทที่ 206 ไล่ตามจับฆาตรกรถึงแดนผืนอินทนิล
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงตรง ทั้งๆ ที่ควรจะท้องฟ้าสดใสเจิดจ้า แต่ข้างหน้าสวี่ชิงแสงกลับไม่ได้สว่างแบบนั้นแล้ว
ทั้งๆ ที่ท่าเรือร้อยเจ็ดสิบหกเอะอะโหวกเหวก แต่ในความรู้สึกของสวี่ชิงเหมือนเสียงเหมือนจะเงียบหายไปหมดแล้ว
ความรู้สึกที่ไม่เหมือนเรื่องจริงอย่างรุนแรงทำให้เขารู้สึกว่าทุกอย่างนี้เหมือนเป็นเรื่องล้อเล่นเท่านั้น กลุ่มคนที่เดินมาจากที่ไกล นกที่โบยบินผ่านฟากฟ้า เสียงเรือที่มาจากท้องทะเล ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนถูกสกัดกั้นจากการรับรู้ของเขา
เหมือนว่าโลกในความเข้าใจของเขากลายเป็นสองชั้น ชั้นหนึ่งคือทุกสิ่งทุกอย่างและทุกคน อีกชั้นหนึ่ง…มีเพียงตัวเขาเท่านั้น
กะทันหันเหลือเกิน
ข่าวที่ปุปปับประเภทนี้ น้อยนักที่มีคนยอมรับได้ในทันที และน้อยนักที่จะมีคนตั้งตัวกลับมาได้ในทันที สวี่ชิงโซเซ ถอยหลังไปสามสี่ก้าว ออกแรงเกาะราวกั้นเรือใหญ่เวทเอาไว้
ลมทะเลพัดมา พัดเส้นผมดำของเขาปลิวไสว แต่กลับพัดพาความอัดอั้นที่เกิดขึ้นในใจให้สลายไปไม่ได้ เขาอยากจะตะโกน อยากจะคำราม แต่กลับเปล่งเสียงไม่ออก
สวี่ชิงให้ความสำคัญกับบุญคุณเป็นอย่างมาก
“สุดท้ายก็จะได้พบกันหรือ…” สวี่ชิงพึมพำในใจ
เขานึกถึงเรื่องในวันวานที่ฐานที่มั่นคนเก็บกวาด ตัวเองหาดอกลิขิตฟ้า นึกถึงเรื่องในกระโจม สายตาล้ำลึกของปรมาจารย์ไป่ นึกถึงภาพที่ตัวเองเอาสมุนไพรอื่นๆ มาแกล้งถาม
สุดท้าย เบื้องหน้าของเขาก็มีภาพที่รถม้าแต่ละคันๆ จากไปไกล ปรมาจารย์ไป่นั่งอยู่บนนั้น ใบหน้าแก่ชรามีรอยยิ้มปรากฏขึ้น พยักหน้ามาให้ตน
ตอนนี้ถึงอย่างสลายหายไปหมดแล้ว
หัวหน้าเหลยมอบความรู้สึกญาติพี่น้องให้สวี่ชิง
ปรมาจารย์ไป่มอบบุญคุณยิ่งใหญ่ให้สวี่ชิง
ชายชราทั้งสองคนนี้พูดได้ว่าเป็นคนที่ดึงเด็กหนุ่มที่เดินออกมาจากในเมืองที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้าลืมตา ฝนเลือดและซากศพเกลื่อนกลาดประดุจนรกอเวจีให้กลับมาอยู่ในโลกมนุษย์อีกครั้ง
เพียงแต่ฟ้าดินไร้ความเมตตา กลียุคไร้ความปรานี
ชีวิตในโลกใบนี้คือสิ่งไร้ค่า
ต่อให้หลังจากสวี่ชิงเข้าสำนักเจ็ดเนตรโลหิตแล้ว หลายครั้งที่ได้เห็น ได้ยิน ล้วนไม่ใช่ความเย็นชาทั่วทุกแห่งหนแบบในฐานะที่มั่นคนเก็บกวาดแบบนั้น แต่แสดงให้เขาเห็นด้วยอีกวิธีหนึ่ง
ทว่านี่ไม่ได้หมายความว่าข้างนอกทุกอย่างจะเป็นเช่นนี้
ไม่ว่าจะแลกลูกเพื่ออาหาร หรือจะการฆ่าทารุณโหดเหี้ยม ในโลกภายใต้เทพเจ้า ล้วนมีให้เห็นอยู่ทั่วทุกที่ทุกเวลา
และตอนนี้ ในใจของสวี่ชิงก็มีจิตสังหารกลุ่มหนึ่งปะทุขึ้นไม่หยุด เหมือนในตัวเขามีดาบคมเล่มหนึ่ง กำลังแผ่จิตสังหารท่วมฟ้าดินออกมาอย่างบ้าคลั่ง จะพุ่งทะลุร่างของเขาออกมา คิดจะระบายอารมณ์ในฟ้าดิน
สวี่ชิงร่างสั่นสะท้าน
นานอยู่อย่างนั้น สวี่ชิงสูดลมหายใจเข้าลึก มองนายกองที่ใบหน้าฉายความเป็นห่วงอยู่เบื้องหน้า เสียงของเขาเปลี่ยนมาแหบแห้งเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว เอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า
“ข้าไม่เป็นไร”
สวี่ชิงพูดพลางก้มหน้าถือแผ่นหยกสีแดงเอาไว้ในมือ ฝืนให้ตัวเองสงบนิ่ง ตรวจสอบอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่านายท่านเจ็ดมีเส้นสายที่กว้างขวางและความสามารถเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นในแผ่นหยกของเขาจึงไม่ได้แค่บอกการตายของปรมาจารย์ไป่เท่านั้น กระทั่งว่ายังมีเบาะแสที่ฝ่ายดินแดนผืนอินทนิลสืบมาและข้อมูลของฆาตกรด้วย
สาเหตุการตายที่แท้จริงคืออะไรตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ แต่ในแผ่นหยกบอกว่า หลังจากที่ปรมาจารย์ไป่ถูกลอบสังหารตายแล้ว ตัวเขาและสถานที่ที่เขาพักอาศัยไม่มีอะไรหายไป มีเพียงตำรับยาลูกกลอนส่วนท้ายของลูกกลอนจันทราทะนงที่หายไป
นี่เป็นวัตถุที่มีคนเปิดออกมาได้จากกล่องปรารถนาเมื่อไม่รู้กี่ปีก่อน เป็นสิ่งที่มาจากศักราชที่แล้ว บันทึกไว้บนหนังสัตว์ไม่ทราบชนิด ลูกกลอนที่พรรณาบนนั้นไร้ศีลธรรมจรรยา โหดร้ายเป็นอย่างยิ่ง
ลูกกลอนจันทราทะนง ตัวยาหลักคือบุคคลที่เป็นอัจฉริยะโดดเด่น สามคนเป็นหนึ่งตำรับ ต้องใช้หกตำรับหลอมพร้อมกัน สุดท้ายหลอมเป็นลูกกลอนเลือดหนึ่งเม็ด
ลูกกลอนเม็ดนี้กลืนกินลงไปก็จะทำให้คนธรรมดาพลิกชะตาเปลี่ยนไปกลายเป็นอัจฉริยะ
ปรมาจารย์ไป่บังเอิญได้ส่วนท้ายของตำรับยามา คิดว่าลูกกลอนนี้เหี้ยมโหดเหลือคณา เดิมคิดจะทำลายทิ้ง แต่เนื่องจากมันมีคุณค่าทางด้านเภสัชวิทยาในระดับหนึ่ง ดังนั้นจึงเก็บสะสมเอาไว้ คนนอกรู้ไม่มาก
ส่วนตัวตนโดยละเอียดของคนร้าย แผ่นดินผืนอินทนิลก็กำลังสืบเช่นกัน นายท่านเจ็ดไม่อาจรู้รายละเอียดไปได้มากกว่านี้ แต่อาศัยเส้นสายที่แผ่นดินผืนอินทนิลของเขาจึงสืบเบาะแสอะไรมาได้บ้าง
คนร้ายไม่ใช่เผ่ามนุษย์ แต่เป็นเผ่าแปลกประหลาดที่หาได้ยากในทะเลต้องห้ามเผ่าพันธุ์หนึ่ง ชื่อว่าเผ่าพรางมารยา
เผ่านี้ได้ชื่อว่าเป็นเผ่าอมตะ ใช่ว่าจะไม่ตายจริงๆ ทว่าความสามารถแปลกประหลาดของเผ่าทำให้คนนอกยากที่จับหรือฆ่าให้ตายได้โดยสมบูรณ์ เพราะทุกครั้งที่พวกมันตาย ก็จะไปฟื้นคืนชีพในร่างของสิ่งมีชีวิตที่เคยทำสัญลักษณ์เอาไว้ทันที
แม้ทุกครั้งจะฟื้นคืนชีพ แต่ล้วนมีการผลาญพลังทั้งนั้น ทว่าก็ไม่ได้มากเท่าใด
นี่สร้างความยุ่งยากเป็นอย่างมากให้กับการสืบคดีของฝ่ายผืนอินทนิล นอกจากนั้น…สถานการณ์ของผืนอินทนิลซับซ้อน ตระกูลต่างๆ ในดินแดนมีการต่อสู้กันเรื่องผลประโยชน์ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง และในตอนที่ปรมาจารย์ไป่มีชีวิตอยู่ เขามีคุณค่าอย่างมาก คนจำนวนไม่น้อยได้รับพระคุณจากเขา
แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญ เขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดา เป็นชายชราใกล้ฝั่งแล้วคนหนึ่งเท่านั้น
และคนธรรมดาต่อให้มีคุณูปการมากสักเพียงใด ในสายตาของผู้บำเพ็ญ โดยเฉพาะในสายตาของผู้มีอำนาจที่ความคิดคร่ำครึพวกนั้นในดินแดนสีม่วง ก็ล้วนต่ำตมทั้งสิ้น
ก็แค่เครื่องมือเท่านั้น
ดังนั้นหลังจากปรมาจารย์ไป่ตาย ฝั่งผืนอินทนิลแม้จะโกรธเดือดดาล แม้จะตรวจสอบ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ทุ่มเทจริงจังเป็นพิเศษ ส่วนคนที่เคยได้รับบุญคุณจากเขาก็ไม่ได้ลงมือเท่าใดนัก
คนจากไปชาก็เย็นชืด โดยเฉพาะในกลียุคที่โหดเหี้ยมก็ยิ่งเป็นเช่นนี้


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา