บทที่ 207 ดื่มสุรา ท่องตำราหน้าหลุมศพ
ฤดูในตอนนี้ ยามอยู่ที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตก็เป็นเพียงแค่ปลายฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้น แต่ที่ผืนอินทนิลที่นี่เป็นเหมันต์อันหนาวเหน็บแล้ว
ลมหิมะโปรยปรายแล้วร่วงหล่น โปรยปรายทั่วผืนดิน ปกคลุมเมืองโบราณเก่าแก่เมืองนี้เอาไว้
มองไกลๆ วังสีแดงเข้มแต่ละวังๆ นั่นเหมือนประดับอยู่บนพื้นหิมะที่กว้างไกลไร้ขอบเขตประดุจมหาสมุทร
หิมะปลิวโปรยปราย
ทั่วทั้งผืนดินถูกปกคลุมไว้เป็นชั้นๆ คนสัญจรบนถนนมีไม่มาก แต่ละคนล้วนสวมเสื้อหนา แต่กลับไม่อาจปัดเกล็ดหิมะที่โปรยปรายลงมาไม่หยุดไปได้ ทำให้แต่ละคนเหมือนกำลังเดินเข้าสู่วัยชรา
ความรู้สึกตกต่ำ ทั้งยังแผ่อวลไปด้วยความกดดันค่อยๆ ผสานไปในสภาพแวดล้อมตามเกล็ดหิมะ ตามสีหน้าเฉยชาของคนที่สัญจร หลายเป็นบรรยากาศของที่นี่
และหลังคากระเบื้องของสิ่งก่อสร้างทั้งหมดทั่วเมืองก็เหมือนเกาะโดดเดี่ยวท่ามกลางทะเลหิมะ
ที่นี่ก็คือผืนอินทนิล
ที่นี่ก็คือเมืองหลวงของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณในอดีต
เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณมีรัฐหนึ่งชื่อว่ารัฐม่วงคราม และเคยรวมทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณให้เป็นหนึ่ง มีหงส์เพลิงเป็นสัญลักษณ์ แต่สุดท้ายในกลียุคที่เหี้ยมโหดนี้ก็ไม่อาจอยู่ได้ยืนยาว
ทำได้เพียงแตกสลายไปในกลียุค ทำให้รัฐม่วงครามถูกฝังกลบอยู่ในประวัติศาสตร์ กลายเป็นอดีต
ส่วนเชื้อพระวงศ์ในตอนนั้นและทรัพย์สินมรดกก็ถูกกลุ่มกบฏพวกนั้นในตอนนั้นแบ่งผลประโยชน์สายเลือดเองก็เช่นกัน แห้งเหือดหายไปจนถึงทุกวันนี้
และหลังจากที่กลุ่มกบฏแบ่งผลประโยชน์ทุกอย่างแล้ว ก็กลับกลายเป็นสายหลัก ก่อตั้งแปดตระกูลใหญ่ขึ้นมา ครอบครองดินแดนผืนอินทนิล กลายเป็นตระกูลใหญ่ของผืนอินทนิลสืบทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน พวกเขาเคารพบูชาสัญลักษณ์หงส์เพลิงเช่นกัน มีหงส์เพลิงเป็นเทพของพวกเขา
กวาดตามองไป ขนาดของทั้งเมืองหลวงผืนอินทนิลใหญ่กว่าเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตประมาณสามเท่า ในนั้นถูกแบ่งเป็นแปดเขต
แบ่งเป็นแปดตระกูล
ทุกเขตในเมืองล้วนมีสิ่งก่อสร้างที่เหมือนวังหนึ่งแห่ง ซึ่งก็คือพื้นที่เดิมของตระกูลทั้งแปดนี้
วังของบางตระกูลถูกโอบล้อมไปด้วยสระน้ำสีเขียวมรกต จอกแหนลอยไปทั่วฉายความใสกระจ่าง หงส์และมังกรแกะสลักตามมุมหลังคา เกล็ดทองเป็นประกายยิบยับ งดงามสมจริงราวมีชีวิต
วังของบางตระกูลกระเบื้องเคลือบสีเหลืองทองส่องประกายเจิดจ้าใต้แสงอาทิตย์ยามฤดูหนาว มองไปไกลๆ แล้วหลังคาที่สลับซับซ้อน ตระกาลตายิ่งนัก
เทียบกับสำนักเจ็ดเนตรโลหิตแล้วเป็นรูปแบบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เทียบกันแล้ว ผืนอินทนิลเหมือนชายชราที่สวมชุดอลังการแต่กลับดื้อดึงคร่ำครึคนหนึ่ง ทุกอย่างล้วนต้องเป็นกฎระเบียบ ทุกอย่างล้วนต้องขึ้นกับสายเลือด ทุกอย่างต้องคิดพิจารณาถึงประเพณีของตระกูลเป็นอันดับแรก
นี่ก็คือวิถีการดำรงอยู่ในกลียุคของพวกเขา ไม่เหมือนกับสำนักเจ็ดเนตรโลหิต และบอกไม่ได้แบบใดดีกว่ากัน
แต่สิ่งที่สามารถมองเห็นได้คือ สำนักเจ็ดเนตรโลหิตในฐานะที่เป็นสาขาย่อยของพันธมิตรเจ็ดสำนัก นับตั้งแต่แรกก็สู้ผืนอินทนิลไม่ได้ในระดับหนึ่ง จนจวนเวลาหมุนผ่าน ภายใต้การพัฒนาก็ค่อยๆ ทัดเทียมกัน
ตอนนี้ยิ่งจากการทะลวงขั้นของบรรพจารย์เสี่ยเลี่ยนจื่อก็แซงหน้าไปเลยในทีเดียว กระทั่งว่ามีกำลังเปิดศึกกับต่างเผ่า
แต่ผืนอินทนิลไม่ทำเช่นนั้น
พวกเขาชอบปิดกั้นตัวเอง ไม่ชอบให้คนอื่นมารบกวน กระทั่งว่าในขณะเดียวกับที่พวกเขาเคารพยำเกรงเสี้ยวหน้าเทพเจ้าบนท้องฟ้า ก็ดูถูกขั้วอำนาจทุกขั้วอำนาจของโลกภายนอก ต่อให้เป็นแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ พวกเขาก็ดูถูกเช่นกัน
พวกเขาคิดว่าสายเลือดของพวกเขาถึงจะสูงส่งที่สุด และไม่คิดว่าตัวเองเป็นกบในกะลา
ดังนั้น คนที่มีชีวิตอยู่ที่นี่ หากไม่ได้สืบทอดสายเลือดมา เช่นนั้นส่วนมากล้วนไม่มีอนาคต แน่นอนว่าย่อมไม่มีความฮึกเหิมกระตือรือร้น อีกทั้งความเป็นทาสยังค่อยๆ แทรกซึมไปในวิญญาณ ทุกยุคสมัยทุกรุ่นล้วนเป็นเช่นนี้
ปรมาจารย์ไป่เป็นบุคคลจำนวนน้อยของผืนอินทนิลในหมื่นปีมานี้
และเป็นคนแรกที่อยากทำลายความคิดดั้งเดิมของตระกูล อยากจะพัฒนาไปพร้อมกับสมาพันธ์เผ่ามนุษย์โลกภายนอก
ความคิดของเขาขัดกับผืนอินทนิล และต้องจ่ายค่าตอบแทนกับเรื่องนี้ กลายเป็นคนธรรมดา
แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ อาศัยความสามารถอันเลิศล้ำ อาศัยวิถีสมุนไพร ในวันเวลาอันมีจำกัดก้าวเดินจากเส้นทางอีกเส้นหนึ่งออกมา
อีกทั้งตำรับยาจำนวนมากที่ค้นคว้าออกมา ในด้านวิถีสมุนไพรก็ยิ่งอาศัยพลังของมนุษย์ธรรมดาของตัวเองเพียงลำพังก็ก้าวล้ำผู้บำเพ็ญแล้ว
กระทั่งว่าในระดับหนึ่ง ก็เป็นบุคคลอันดับหนึ่งของวิถียาลูกกลอนแห่งทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ
ต่อให้เป็นเจ้ายอดเขาลำดับสองของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต นางที่เป็นผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดก็ยังนับถือปรมาจารย์ไป่เป็นอย่างมาก บุคคลที่เหมือนนายท่านเจ็ดก็ต้องเรียกว่าปรมาจารย์
ทุกอย่างนี้ล้วนมองเห็นความชำนาญในด้านวิถีลูกกลอนของปรมาจารย์ออกว่าเป็นขอบเขตสูงสุดแล้ว
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ในดินแดนผินอินทนิล เขาก็ถูกกฎเกณฑ์มากมายพันธนาการ หลายๆ เรื่องล้วนทำอะไรไม่ได้ ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะสายเลือด
ปรมาจารย์ไป่ไม่ใช่สายเลือดหลักของตระกูลไป่ เขามีชาติกำเนิดจากสายรอง
ตอนนี้ลมหิมะพัดรุนแรงกว่าเดิม
ท่ามกลางหิมะโปรยปราย ในสุสานสาธารณะของเขตที่ตระกูลไป่อยู่ มีคนสิบกว่าคนยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น ข้างหน้าพวกเขามีโลงผลึกแก้วโลงหนึ่ง ร่างของปรมาจารย์ไป่นอนอยู่ในนั้น แผลที่คิ้วถูกปกปิดไปแล้ว
ส่วนร่างแม้จะมีพลังเวทรักษาสภาพ ยิ่งใช้โลงผลึกแก้วผนึกเอาไว้ แต่หากมองให้ละเอียดก็ยังมองเห็นว่าร่างของปรมาจารย์ไป่กำลังเน่า อีกทั้งเปลี่ยนเป็นสีดำ
นี่คือลักษณะของการโดนพิษ พิษนี้รุนแรงมาก สามารถเร่งการเน่าเปื่อย
ดังนั้นร่างจึงไม่อาจเก็บได้นาน ทำได้เพียงต้องฝังในพลบค่ำของวันนี้ ภายใต้แสงอาทิตย์ยามอัสดงที่หมองหม่นในวันหิมะตก
ความเจือจางของสายเลือดทำให้หลังจากที่ปรมาจารย์ไป่ตายก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าไปในสุสานหลวงของตระกูล และในตอนที่มีชีวิตอยู่ปรมาจารย์ไป่ก็ไม่ให้ค่ากับเรื่องนี้ หลายปีก่อนก็เคยสั่งเอาไว้ว่า หลังจากที่ตัวเองตายไปแล้วฝังไว้ในสุสานสาธารณะก็ได้
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา