บทที่ 208 ใช้สิ่งประหลาดต่อกรสิ่งประหลาด.
“เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าเด็กนั่นจะยังจำอาจารย์ได้ ข้าไม่เชื่อหรอก” จากเสียงที่ดังมาในค่ำคืนนี้ ร่างของถิงอวี้เข้าประชิดหน้าหลุมศพปรมาจารย์ไป่อย่างรวดเร็ว มองความว่างเปล่ารอบๆ นางนิ่งงันไป
“ข้าบอกแล้ว ว่าเขาไม่มีทางมาหรอก” ปากเฉินเฟยหยวนพูดเช่นนี้ แต่ดวงตากลับมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว
“เขามาแล้ว” ถิงอวี้มองหลุมศพปรมาจารย์ไป่ เอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา
เฉินเฟยหยวนมึนงง จากนั้นจึงก้มลงมองที่หน้าหลุมศพ กลิ่นสุราโชยวูบหนึ่งเดี๋ยวเลือนเดี๋ยวชัด เห็นได้ว่าหลังจากที่พวกเขาออกไป ที่นี่เคยมีการเซ่นไหว้มาก่อน
“ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ใช่เขา ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นคนอื่น ต่อให้เป็นเขาจริง แล้วเป็นอย่างไรหรือ…” หลังจากเฉินเฟยหยวนนิ่งเงียบ ก็ถอนใจออกมา
ถิงอวี้กัดริมฝีปากล่าง ทำทีจะพูดแล้วก็หยุดไป
“ตอนนี้เขาอยู่ที่เจ็ดเนตรโลหิต ดูเหมือนจะได้หน้าได้ตาจนติดลำดับ แต่ถ้ายังไม่ได้ฝากตัวเป็นศิษย์กับนายท่านเจ็ด ท้ายสุดก็จะกลายเป็นจอกแหนไป…เรื่องของอาจารย์ สำหรับเขาแล้วก็คงยากจะจัดการเช่นกัน พวกเราไม่ต้องเพ้อฝันแล้ว บางทีเจ้าอาจจะมองผิด คนเนรคุณอย่างเขาไม่เคยมาที่นี่
“หนี้แค้นนี้ พวกเราจะล้างแค้นกันเอง!”
เฉินเฟยหยวนเอ่ยเสียงเคร่งขรึม ดึงถิงอวี้ที่ใบหน้าขมขื่นและอกสั่นขวัญหายอยู่บ้างออกจากสุสาน หลังจากส่งถิงอวี้กลับที่พัก ตอนที่เขาหันหลังจากไป สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
เขาที่เดินอยู่บนเส้นทางที่จะไปตระกูลเฉิน ในกลุ่มผู้ติดตามหลายคนที่อยู่ด้านหลัง ในนี้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา เอ่ยขึ้นมาเสียงต่ำ
“คุณชาย คนเนรคุณที่พวกท่านพูดถึงก่อนหน้านี้ คือสวี่ชิงที่กำลังชื่อเสียงเลื่องระบือไปทั่วปักษาสวรรค์ทักษิณคนนั้นน่ะหรือ”
แทบจะพริบตาที่คำพูดชายหนุ่มคนนี้เปล่งออกมา เฉินเฟยหยวนที่เดินอยู่ด้านหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึมก็หันมาฉับพลัน มองไปยังผู้ติดตามหนุ่มที่ติดตามตนเองมาหลายปีเบื้องหน้า ฟาดฝ่ามือผัวะไป
เรี่ยวแรงมหาศาลจนผู้ติดตามนี้ตัวปลิว หลังจากกลิ้งไปอยู่ข้างๆ ผู้ติดตามคนนี้ก็ร่างสั่นสะท้าน รีบคุกเข่าลงทันที
“ข้าบอกว่าเขาเป็นคนเนรคุณ ที่ข้าพูดเช่นนี้เพราะเขาถือเป็นศิษย์พี่ของข้าแล้ว แม้ข้าจะไม่ค่อยชอบเขานัก แต่อาจารย์ยอมรับเขา ข้าเองก็ยอมรับเขาเช่นกัน
“แต่เจ้ามันเป็นใครกัน กล้ามาพูดว่าเขาต่อหน้าข้าหรือ” เฉินเฟยหยวนเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา ผู้ติดตามคนนั้นก็สั่นระริกไปทั้งตัว โขกศีรษะไม่หยุด
“เห็นแก่ว่าเจ้าติดตามข้ามาหลายปี จะจัดงานศพให้ยิ่งใหญ่ก็แล้วกัน” เฉินเฟยหยวนเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ ขณะที่ผู้ติดตามคนนั้นอ้อนวอน เขาก็ถูกผู้ติดตามคนอื่นกดไว้ แล้วหักคอทิ้งทันที รอบด้านแปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงบ
เฉินเฟยหยวนไม่แม้แต่จะเหลือบมอง ตอนนี้ขมวดคิ้ว ในดวงตามีแววครุ่นคิด จากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้นฉับพลัน
“จัดการเรียกใช้สายที่ข้าเลี้ยงเอาไว้หลายปีเหล่านั้นมาให้หมด ให้พวกเขาคอยจับตาการกระทำของผู้แข็งแกร่งแก่นลมปราณของทั้งแปดตระกูล พวกเขาต้องการอะไร ข้าให้ได้ทั้งนั้น”
“เรียกใช้ทั้งหมดเลยหรือขอรับ” ผู้ติดตามด้านหลังเฉินเฟยหยวนตกตะลึง
“ทั้งหมด สวี่ชิงเจ้าเนรคุณนั่นไม่รู้ตอนนี้มีพลังเช่นไร เรื่องอาจารย์นี้ข้าสงสัยว่าผืนอินทนิลคงเข้าร่วมด้วยเช่นกัน ถ้าเขาเข้ามาเอี่ยวอาจจะมีอันตรายก็ได้
“เขาไม่มาพบพวกเรานั้นถูกต้องแล้ว ถิงอวี้ความคิดตื้นเขิน ค้นคว้ายาลูกกลอนยังพอทำเนา แต่จิตใจยังไม่แกร่งพอ ถ้าเกิดเผยร่องรอยออกมา แล้วถูกคนตรวจสอบว่าเขาเข้ามาแล้วล่ะก็ คงจะเลี่ยงความคิดที่จะลงมือประกาศจับเผ่าสิงซากสมุทรได้ยากแน่
“กระทั่งข้าเองก็ยังสงสัยว่าการตายครั้งนี้ของอาจารย์ บางทีอาจจะเพราะมีคนคิดจะล่อเขาเข้ามา ยิงเกาทัณฑ์นัดเดียวได้นกสองตัว หรือบางทีอาจจะมีคนซ้อนแผน คิดใช้เรื่องนี้เพื่อตกเหยื่อ!
“หวังว่าข้าคงจะคิดมากไป” เฉินเฟยหยวนสูดลมหายใจลึก ในดวงตาปรากฏแววครุ่นคิดอีกครั้ง
สองปีนี้ ไม่เพียงแต่สวี่ชิงที่เปลี่ยนไปมาก หลังจากเขากลับมาที่ผืนอินทนิลแล้วสัมผัสกับอำนาจในตระกูล ก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน โดยเฉพาะในด้านสติปัญญา ขณะเดียวกับที่อิทธิพลที่เขาได้รับจากปรมาจารย์ไป่เองก็หยั่งลึก เกลียดชังอยู่ในใจสถานการณ์ปัจจุบันของผืนอินทนิลเป็นอย่างมาก
เมื่อพูดจบ เขาก็มองไปยังผู้ติดตามสองคนด้านหลัง
“สั่งการไปหรือยัง” ผู้ติดตามสองคนนี้พยักหน้า แต่พริบตาที่พวกเขาพยักหน้า ทั้งสองคนนี้ก็ร่างกระตุก หน้าดำคล้ำ กระอักเลือดขาดใจตายทันที
“ไม่มีทางเลือก ข้าก็ไม่เชื่อใจพวกเจ้าเหมือนกัน พอทำงานเสร็จจึงทำได้เพียงส่งพวกเจ้าไปเช่นนี้” เฉินเฟยหยวนพึมพำ ทั่วทั้งผืนอินทนิล คนที่เขาเชื่อใจมีเพียงอาจารย์กับถิงอวี้ ตอนนี้อาจารย์ถูกสังหาร จึงเหลือเพียงถิงอวี้เท่านั้น
“ส่วนเจ้าคนเนรคุณ ก็ถือว่าเชื่อได้กระมัง ไม่รู้เขาจะพบกับลูกกลอนลาลับสิบสองชั่วยามหรือไม่…แต่ว่าด้วยความเข้าใจต่อสมุนไพรของเขาแล้ว น่าจะชี้นำเบาะแสที่ให้พวกเราพบพิษที่อยู่บนตัวอาจารย์ได้” เฉินเฟยหยวนขมวดคิ้ว จัดการศพ แล้วหันหลังเดินจากไป
ขณะเดียวกัน สวี่ชิงเดินอย่างไม่เผยกลิ่นอายแม้แต่น้อยอยู่ในเงามืดในเมืองหลวงของผืนอินทนิล ดวงตาแฝงไว้ด้วยความเย็นชา กำลังตรงไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว
สาเหตุที่เขาไม่ทำเป็นไม่รู้จักถิงอวี้กับเฉินเฟยหยวน ก็เพราะกังวลว่าจะมีปัญหาแทรกซ้อน สวี่ชิงรู้คุณค่าของตนเองในปัจจุบันเป็นอย่างดี เขาก็คิดถึงเช่นกันว่ามีคนใช้เรื่องนี้เพื่อล่อตนเองออกมาหรือไม่
แต่เขารู้สึกว่า ต่อให้เป็นเรื่องจริง ก็ไม่เกี่ยวข้องกับขั้วอำนาจที่มาลอบสังหารปรมาจารย์ไป่
การสูญหายของตำรับยาลูกกลอนจันทราทะนงนั่นก็มองถึงร่องรอยบางส่วนออกแล้ว ว่าแผนการของอีกฝ่ายใหญ่โตมาก
“ดังนั้นถ้าหากมีคนจะล่อข้าออกมาจริงๆ ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นคนจำพวกในผืนอินทนิล แต่บางทีอาจจะกังวลมากเกินไป ทว่าการระแวดระวังและการเตรียมตัวก็ยังจำเป็นต้องมีอยู่ดี”
สวี่ชิงหรี่ตาลง สาดผงพิษลงไปบนตัวเล็กน้อย อำพรางกลิ่นอายของตนเองแล้วเดินหน้าต่อ
เขาพบเบาะแสและร่องรอยที่น่าจะเป็นของคนร้ายแล้ว
ในแผ่นหยกสีแดงที่นายท่านเจ็ดมอบให้ระบุลักษณะพิเศษของอีกฝ่ายไว้ ขณะเดียวกันก็ยังแจ้งว่าตึงมือพอควร แจ้งว่าเผ่าพรางมายานี้จับกุมยากมาก
แม้นายกองทางนั้นจะเตือนเน้นเรื่องวิธีการมาแล้ว แต่สวี่ชิงก็มีวิธีของตนเอง
ขอแค่เป็นผู้บำเพ็ญที่มีไอพลังประหลาด ก็หนีสัมผัสเฉียบคมของเจ้าเงาไม่พ้น ถึงอย่างไรมันก็กินไอพลังประหลาด
แม้ในเมืองหลวงผืนอินทนิล จะมีดีชั่วปะปนกัน ผู้บำเพ็ญที่มีไอพลังประหลาดเข้มข้นมีอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าหากเพิ่มกลิ่นอายทะเลต้องห้ามเข้าไป เช่นนั้นขอบเขตก็จะลดลงอย่างมาก
ดังนั้นเรื่องยากลำบากในสายตาคนอื่น สวี่ชิงไม่ได้ลำบากเลย
สิ่งเดียวที่จำเป็นคือหาตัวคนร้ายจากคนที่เงื่อนไขสอดคล้องกับเจ้าเงาเพ็งเล็งไว้ก็พอ
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา