เข้าสู่ระบบผ่าน

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา นิยาย บท 212

บทที่ 212 ที่แท้ก็เจ้า!

ขณะเดียวกัน ในสถานที่ริมทะเลต้องห้ามที่ไม่ห่างจากเจ็ดเนตรโลหิตนัก ค่ายกลส่งข้ามที่ถูกทิ้งร้างไว้แห่งหนึ่ง จู่ๆ ก็มีแสงเจิดจ้า ด้านในปรากฏปราณหมอกวูบหนึ่ง ปราณหมอกนี้ควบรวมอย่างรวดเร็ว กลายเป็นร่างหมอกร่างหนึ่ง

หลังจากเดินออกจากค่ายกลส่งข้าม เขาก็ลงมืออย่างรวดเร็ว ทำลายค่ายกลลงทันที จึงถอนใจโล่งออกมา เงยหน้าขึ้นหัวเราะลากยาว

“ในที่สุดก็ยังถูกข้าหนีรอดมาจนได้!” ร่างหมอกของเขากำลังควบตัว ค่อยๆ กลายเป็นรูปร่างชายกลางคนคนหนึ่ง สีหน้าเวลานี้มีความภาคภูมิใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ในความเป็นจริง เขาสุดท้ายจงใจให้สวี่ชิงจับก็เพื่อช่วยส่งข้าม ใช้วิชาลับที่นายจ้างมอบให้ หลบหนีทะยานขึ้นฟ้า

ทั้งหมดราบรื่นมาก

“ไม่ได้เสียเวลาไปเท่าไร ถัดจากนี้คือไปแลกเปลี่ยนกับนายจ้าง ส่วนที่เหลือของลูกกลอนจันทราทะนง ก็ถูกข้าท่องเอาไว้หมดแล้ว ตอนนี้มีเพียงข้าที่รู้ ถ้าพวกเขาไม่ให้ของที่สัญญาไว้ ก็เลิกคิดที่จะเอาตำรับยาที่เหลือได้เลย”

ผู้บำเพ็ญกลางคนคนนี้แค่นหัวเราะ ร่างกายไหววูบไปอย่างรวดเร็ว

ร่างกายเขาพุ่งทะยานอยู่ในที่รกร้างใต้แสงจันทร์ แต่กลับไม่สังเกตเห็น ว่าในเงาของเขา มีดวงตาข้างหนึ่งเปิดอยู่

ต่อให้ร่างของเขาเป็นสิ่งประหลาด แต่ยังคงมีเงาอยู่ และขอแค่มีเงา ก็จะมีตัวตนเจ้าเงาของสวี่ชิงอยู่

สวี่ชิงจงใจปล่อยเขาหนีไป

ส่วนคำพูดที่อีกฝ่ายบอกว่าจะไปพบนายท่านหก สวี่ชิงไม่เชื่อ และในเมื่อต่อให้ตายอีกฝ่ายก็ไม่พูด สวี่ชิงจึงทำให้เขาคิดว่าปลอดภัยแล้ว เช่นนี้จึงจะพาเขาไปหาคนร้ายหลังม่านตัวจริงด้วยตนเอง!

และขอบเขตเนตรเงา สวี่ชิงเองก็สัมผัสมาแล้วตอนที่ค้นหาขบวนร้อยอสูรแห่งรัตติกาลบนทะเลเมื่อครั้งนั้น ขอบเขตของมันกว้างมาก ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงอยู่ในสัมผัสเขา แม้จะเลือนรางอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบ

สัมผัสแค่ทิศทางก็เพียงพอแล้ว

สวี่ชิงลืมตา จัดระเบียบค่ายกล เริ่มส่งข้ามไปทางจุดที่สัมผัสได้ ส่วนค่ายกลอีกด้านแม้จะถูกทำลายไปก็ไม่เป็นไร แค่รู้ทิศทาง ใกล้ๆ มันยังต้องมีค่ายกลส่งข้ามอื่นอยู่อีก

พริบตาต่อมา ร่างของสวี่ชิงก็สลายไป

ตอนนี้ พื้นที่ชายฝั่งทะเลของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณแห่งนี้ ผู้บำเพ็ญกลางคนที่ร่างก่อตัวขึ้นจากหมอก เร่งเดินทางตลอดคืนอย่างรวดเร็ว ช่วงนี้เขาก็หันหน้ากลับไปมองหลายรอบ เพื่อแผ่สัมผัสตรวจสอบไปรอบๆ

ต่อให้ยืนยันแล้วหลายครั้งว่าไม่มีคนติดตาม แต่เขาก็ยังระมัดระวัง เพียงแต่ว่าความประหลาดของเจ้าเงา เป็นสิ่งที่เขาคิดไม่ถึงมาก่อนเลย ดังนั้นจึงไม่รู้เลยว่าในเงาของตนเองมีดวงตาดวงหนึ่งอยู่

แต่ว่าพูดรวมๆ การป้องกันของผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาคนนี้แข็งแกร่งมาก เขาไม่ได้ตรงไปยังสถานที่นัดพบกับผู้ว่าจ้างไว้ก่อนหน้าทันที แต่ใช้เวลาหนึ่งคืนอ้อมไปวงใหญ่ สุดท้ายจู่ๆ ที่ชายฝั่งทะเล เรือสินค้าที่จอดอยู่ห่างๆ ลำหนึ่ง ก็มีเสียงคำรามต่ำดังขึ้น

“มาเถอะ ข้าได้ของที่พวกเจ้าอยากได้มาแล้ว”

จากนั้นเขาก็เฝ้ารอเงียบๆ ตรวจสอบรอบด้านอย่างละเอียด แต่กลับมองไม่เห็นดวงตาที่อยู่ในเงาตนเอง ที่กำลังหรี่ตาลงและกำลังตรวจสอบเขาอยู่เช่นกัน

ครู่ต่อมา พอรอบด้านเป็นปกติ ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาหมุนตัวไหววูบ เปลี่ยนทิศทาง ทั้งหมดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เขาจงใจทำลวง ดูว่าปลอดภัยแล้วจริงหรือไม่

เวลานี้ในที่สุดเขาก็วางใจ บนใบหน้าเผยแววได้ใจออกมา ในขณะที่แสงยามเช้าทำลายความมืดลง เขาก็เข้าไปยังริมฝั่งทะเลอีกด้านหนึ่ง กระโจนลงไปอย่างไม่ลังเล

พริบตาต่อมา ปลาดาบที่กำลังแหวกว่ายในทะเลตัวหนึ่ง จู่ๆ ร่างก็สั่นกระตุก เปลี่ยนทิศทางพุ่งทะยานออกไป แต่…ดวงตาของเจ้าเงานั้น สิงอยู่บนตัวของเผ่าพรางมายาคนนี้ ดังนั้นต่อให้เวลานี้อีกฝ่ายมีร่างกายขึ้นมา แต่เนตรเงาก็ยังคงอยู่

สิ่งประหลาด อันที่จริงก็ต้องดูที่ระดับชั้น และระดับความประหลาดของเจ้าเงาก็ห่างชั้นกับเผ่าพรางมายาอยู่ไกลโข กระทั่งพูดได้ว่าข่มกันมาแต่กำเนิด ขณะเดียวกันเจ้าเงาทางนี้ก็เกิดคลื่นทางอารมณ์ขึ้นมาเล็กน้อย

มันเหมือนจะพบว่า ตนเองนั้นเหมือนจะเข้าคู่กับเผ่าพรางมายาได้มากกว่า ถ้าหากตอนแรกที่เข้าไปสิงไม่ใช่สวี่ชิง แต่เป็นเผ่าพรางมายาคนหนึ่งล่ะก็…คิดถึงจุดนี้ เจ้าเงาจู่ๆ ก็ตัดบทความคิดของตนเอง ความรู้สึกสะอิดสะเอียนวูบหนึ่งปรากฏออกมา

มันรู้สึกว่าเผ่าพรางมายาไม่คู่ควรมาเทียบกับตนเอง และยิ่งไม่คู่ควรที่จะไปเทียบกับจอมมารสวี่คนนั้น เผ่าพรางมายาเป็นแค่อาหารของตนเอง แล้วตนเองจะไปเกิดความคิดอยากสิงสู่ในตัวอาหารได้อย่างไรกัน

ความคิดนี้ ทำให้เจ้าเงารู้สึกว่าตนเองถูกหยามหมิ่น ขณะเดียวกันก็เกิดความพรั่นพรึงขึ้นมา คิดถึงประสบการณ์ตอนถูกจอมมารสวี่ทรมาน

มันจึงเรียกสติ ทำการตรวจสอบและแผ่สัมผัสชี้นำไปทางสวี่ชิงอย่างเต็มกำลัง

ทั้งหมดนี้ ผู้บำเพ็ญเผ่าพรางมายาไม่ได้รู้ตัวเลย

เวลาไหลผ่านไปเช่นนี้ ปลาดาบที่เขาสิงอยู่แหวกว่ายในทะเลอย่างรวดเร็ว อ้อมไปวงใหญ่ ระหว่างนี้หลังจากที่สลับไปยังอสูรทะเลอีกเจ็ดแปดตัว ในที่สุดคืนที่สอง เขาก็ไปสิงอยู่บนปลาดาวตัวหนึ่ง

จากการที่คลื่นทะเลซัดเข้าสู่ฝั่ง ปลาดาวตัวนี้ถูกพัดไปบนหาดทรายสีดำแห่งหนึ่งในพื้นที่ของขั้วอำนาจเจ็ดเนตรโลหิต

น้ำทะเลกระจายออกไป ทิ้งไว้เพียงฟองอากาศสีดำทั้งผืน จันทร์กระจ่างสูงเด่นกลางนภา แสงจันทร์สาดส่องลงมาบนฟองอากาศ แผ่ซ่านประกายสลัว รอบด้านนิ่งสงัดไปทุกหนแห่ง

เผ่าพรางมายาที่สิงร่างปลาดาว คืบคลานอยู่บนชายหาด ไม่ขยับเขยื้อน

จนกระทั่งเวลาไหลผ่าน ค่ำคืนผ่านมาแล้วก็ผ่านไป รุ่งอรุณของวันใหม่…ที่มีสีดำสลัว เข้าประชิดอย่างไร้ซุ่มเสียงขณะที่จันทราจากไปแต่ดวงตะวันยังไม่กลับเข้ามา

ตอนนี้…ในค่ำคืนของรุ่งอรุณนี้ ในเงามืดที่ห่างออกไป ก็มีร่างเงาเดินออกมา

ทั้งหมดสี่คน

ล้วนสวมชุดนักพรตสีดำ คลุมร่างและศีรษะเอาไว้จนมิด มองหน้าตาไม่ออก และชุดนักพรตตัวใหญ่ก็ทำให้รูปร่างถูกปิดซ่อนไว้ภายใน มองไม่ออกว่าเป็นเผ่ามนุษย์หรือไม่ และด้วยเหตุนี้จึงมองไม่ออกถึงเพศด้วย

ขณะเดียวกันบนร่างทั้งสี่คน ก็ไม่มีคลื่นพลังบำเพ็ญใดๆ เห็นได้ชัดว่าถูกอำพรางเอาไว้มิดชิดมาก และด้านนอกร่างเงาทั้งสี่นี้ก็เหมือนขมุกขมัวอยู่รางๆ

บทที่ 212 ที่แท้ก็เจ้า! 1

บทที่ 212 ที่แท้ก็เจ้า! 2

บทที่ 212 ที่แท้ก็เจ้า! 3

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา