บทที่ 262 เรื่องราวในอดีตของรัฐม่วงคราม
สวี่ชิงอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย
เขาเดินตามนายท่านเจ็ดไปในป่า
ทั้งๆ ที่นายท่านเจ็ดบอกว่ามีหมากล้อมที่ยังเล่นไม่จบ แต่ระหว่างทางกลับกลับไม่รีบไม่ร้อน เดินอยู่ข้างหน้าอย่างสบายๆ เป็นอิสระ
แต่ว่าทุกก้าวที่ก้าวออกไปล้วนยาวไกล ทำให้สวี่ชิงถูกเหนี่ยวนำทะลุผ่านไปในป่าผืนนี้ด้วย
สวี่ชิงมองเงาแผ่นหลังของนายท่านเจ็ด ในหัวมีภาพที่อีกฝ่ายสะบัดมือ ผู้คุ้มครองระดับแก่นลมปราณสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้านั้นก็ตายทันทีผุดขึ้นมา ทุกอย่างนี้ทำให้เขารู้สึกว่าไม่ค่อยเหมือนเรื่องจริง
จึงทำได้เพียงเงียบนิ่ง
“เรื่องปรมาจารย์ไป่เจ้าทำได้ดีมาก” หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นายท่านเจ็ดที่อยู่ข้างหน้าก็ส่งเสียงราบเรียบ
“เป็นสิ่งที่ข้าควรทำอยู่แล้วขอรับ” สวี่ชิงตอบเสียงต่ำทุ้ม
“เรื่องที่เผ่าสิงซากสมุทรเจ้าก็ทำได้ไม่เลวเหมือนกัน”
“เป็นนาย…เป็นฝีมือขององค์ชายใหญ่ขอรับ” สวี่ชิงลังเลเล็กน้อย
“เรื่องกลุ่มนกเขาราตรีก็ทำได้ใช้ได้”
“ทำสุดความสามารถเท่านั้น” สวี่ชิงก้มหน้า
“แต่เรื่องเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องเจ้าบุ่มบ่ามไปแล้ว” ในตอนที่นายท่านเจ็ดพูดประโยคนี้ออกมา ข้างหน้าก็มีเมืองร้างแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นรางเลือน เป็นเมืองที่สวี่ชิงและเซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องสู้กันนั่นเอง
สวี่ชิงไม่พูดอะไร
“เจ้าควรเรียกเจ้าใหญ่ เจ้าสอง เจ้าสามมาช่วยกันฆ่ามัน แบบนี้เจ้าก็ไม่ต้องบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้แล้ว” น้ำเสียงของนายท่านเจ็ดไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร
สวี่ชิงเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง เขารู้สึกว่านายท่านเจ็ดพูดมามีเหตุผล จึงพยักหน้า
เห็นสวี่ชิงเชื่อฟังเป็นเด็กดีขนาดนี้ นายท่านเจ็ดมีความสุขมาก หันมามองสวี่ชิง ในดวงตาฉายความชื่นชม
“เข้ามาใกล้หน่อย ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินหรอกหรือ ห่างกับข้าขนาดนั้นเชียว”
สวี่ชิงลังเล เข้าไปใกล้ช้าๆ มายืนอยู่ข้างนายท่านเจ็ด
นายท่านเจ็ดมองส่วนสูงของสวี่ชิง ในดวงตามีแววย้อนความหลังเล็กน้อย ในสมองมีภาพที่ฐานที่มั่นคนเก็บกวาด เงาผอมแห้งที่หลังจากได้ชุดใหม่ ก็หลบหลีกบริเวณที่เป็นดินโคลนสกปรกบนพื้นอย่างละมัดระวังปรากฏขึ้น แล้วหัวเราะขึ้นมา
“สูงกว่าตอนนั้นแล้ว”
สวี่ชิงพลันเงยหน้าขึ้นมา ในใจมีคำตอบเลาๆ แล้ว
นายท่านเจ็ดไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อ แต่พาสวี่ชิงเดินเข้าไปในเมืองร้าง สวี่ชิงไม่ได้ซักถาม เดินตามไปอย่างเงียบๆ
มองไกลๆ คนแก่หนึ่งคน เด็กหนุ่มหนึ่งคน เดินอยู่ในที่รกร้างว่างเปล่าแห่งนี้ แสงอาทิตย์ยามพลบค่ำที่นี่ทำให้พวกเขาเหมือนเดินไปในห้วงแห่งกาลเวลา
“ที่นี่คือเมืองโบราณประจักษ์พยานให้กับประวัติศาสตร์ และฝังกลบอยู่ในประวัติศาสตร์”
เสียงของนายท่านเจ็ดดังสะท้อนอยู่ในเมืองโบราณแห่งนี้ แว่วๆ รางเลือน เหมือนขลุ่ยเชียงที่อยู่ไกลโพ้น
สวี่ชิงมองไปทางนายท่านเจ็ด รอคำพูดต่อไป
“ในตำนานเมืองนี้คือเมืองจวนรัชทายาทรัฐม่วงครามที่ยอดเยี่ยมสะท้านฟ้า ได้รับการขนานนามว่าเป็นบุคคลโดดเด่นเลิศล้ำอันดับหนึ่งของเผ่ามนุษย์หลังจากเสี้ยวหน้าเทพเจ้ามาเยือน
“ว่ากันว่ารัชทายาทรัฐม่วงครามคนนั้นเป็นผู้มีพรสวรรค์เยี่ยมยุทธ์อย่างแท้จริง มีมรดกสายเลือดของจักรพรรดิโบราณและเจ้าเหนือหัว สะกดไปหนึ่งยุค
“ยังมีคนบอกว่า เขาเกิดขึ้นจากชะตาของเผ่ามนุษย์ ในตอนที่เขาถือกำเนิดขึ้นมาฟ้าเกิดปรากฏการณ์มงคล แปรเปลี่ยนเป็นมังกรทองเก้าตัว คอยอยู่เคียงข้างชั่วชีวิต
“แล้วก็มีคนบอกว่าเขาคือการเอาตัวรอดครั้งหนึ่งของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ โลกกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ หลอมรวมพลังโลกใบหนึ่งเพียงเพื่อให้เขาลงมาเยือนใต้หล้า
“มีตำราประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ในเสี้ยวพริบตาที่เขาถือกำเนิด พื้นที่ต้องห้ามทุกแห่งในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ต่างส่งเสียงคร่ำครวญ มีเลือดสิ่งประหลาดไหลรินเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามแต่ละแห่ง
“แล้วก็มีคนบอกว่า ชั่วชีวิตเขาผ่านการลืมตาขึ้นของเทพเจ้าห้าครั้งแต่ไม่ตาย ได้รับคำอวยพรจากเทพเจ้า
“แม้แต่แดนศักดิ์สิทธิ์ยังแตกตื่น เดินทางมาทาบทามหลายครั้ง แต่เขาปฏิเสธไปทุกครั้ง
“ทว่า เผ่ามนุษย์ที่เก่งกาจเลิศล้ำถึงเพียงนี้ สุดท้ายกลับรบจนตัวตายอยู่บนแผ่นดินรัฐม่วงคราม เล่ากันว่าหมื่นเผ่าที่เข้าร่วมและโจมตีสังหารในตอนนั้นล้วนแต่เป็นบุคคลที่น่าตื่นตะลึงทั้งนั้น”
สวี่ชิงฟังถึงตรงนี้ จิตใจก็เกิดระลอกคลื่นอารมณ์ขึ้นมา เขารู้สึกว่าเรื่องนี้แตกต่างไปจากรัฐม่วงครามที่ตัวเองรู้มาเล็กน้อย สิ่งที่เขารับรู้คือแปดตระกูลทรยศก่อกบฏ ทำให้สายเลือดเชื้อพระวงศ์ถูกเลี้ยงเอาไว้และแย่งชิงทุกสิ่ง รัฐม่วงครามจึงหายไป เกิดเป็นแปดตระกูลแห่งผืนอินทนิล
สังเกตเห็นสีหน้าของสวี่ชิง นายท่านเจ็ดก็ยิ้มออกมา
“เรื่องที่ข้าพูดไม่ใช่รัฐม่วงครามที่ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ แต่เป็นรัฐม่วงครามที่ถูกแอบซ่อนอยู่ในประวัติศาสตร์ รัฐที่หลังจากยุคสมัยแห่งความมืดแล้วอาจจะรวมแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ให้เป็นหนึ่งได้จริงๆ น่าเสียดายที่คนที่รู้เรื่องในตอนนี้มีน้อยนัก หมื่นเผ่าซึ่งรวมเผ่ามนุษย์ด้วยนั้น บ้างก็ถูกลบไปทั้งจากความตั้งใจของตัวเองและถูกผู้อื่นกระทำ ไม่มีใครกล่าวถึงอีก
“ส่วนแปดตระกูลแห่งผืนอินทนิล รัฐที่พวกเขาทำลายไปเป็นเพียงแค่สายเลือดหลงเหลือที่อ่อนแอจนดูไม่ได้ อีกทั้งยังผ่านไปหลายพันปีของรัฐม่วงคราม พอจะรวมเป็นรัฐเล็กๆ ได้ก็เท่านั้น”
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก
“แต่พูดแล้วก็บังเอิญนัก รัชทายาทผู้เลิศล้ำเก่งกาจของรัฐม่วงครามในตอนนั้นรบตายอยู่บนทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณนี่แหละ บริเวณที่เขาตายหลังจากนั้นเนิ่นนานหลายปี มีเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง เมืองแห่งนั้นเมื่อสิบเอ็ดปีก่อนเทพเจ้าได้ลืมตามองจนทั้งเมืองหายสิ้น
“มีคนบอกว่านั่นเป็นคำสาปของเขา
“ทว่า ยังมีอีกตำนานหนึ่งเกี่ยวกับรัชทายาทรัฐม่วงครามคนนี้ เล่ากันว่าคนคนนี้นิสัยเย็นชา จิตใจชั่วร้ายแปลกประหลาด ไม่ใช่คนดีอะไร!”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง หลุบตาลง ไม่พูดอะไร
ไม่นานนัก พวกเขาอยู่ในที่รกร้างก็มาถึงหน้าศาลเจ้า ที่นี่เละแหลกราญ ทุกหนแห่งล้วนเป็นร่องรอยหลงเหลือจากการต่อสู้อันดุเดือด มองที่นี่แล้วสวี่ชิงก็หันไปมองนายท่านเจ็ด
“ไม่ใช่ว่ามีคนบอกว่าเจ้าขาดเคล็ดวิชาพลังวิเศษอะไรหรอกหรือ ไปรับรู้เสียสิ เร็วหน่อย ข้ายังต้องกลับไปเล่นหมากล้อมอีก” นายท่านเจ็ดเคาะศีรษะสวี่ชิง
สวี่ชิงใจกระตุกวูบ ประโยคนี้เป็นสิ่งที่เซิ่งอวิ๋นผู้ปราดเปรื่องพูดกับเขาในตอนที่สู้กัน
สวี่ชิงจึงมองนายท่านเจ็ดแวบหนึ่ง พยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในศาลเจ้า มองรูปสลักที่อยู่ในศาลเจ้า เขานั่งขัดสมาธิลง จ้องเพ่งอย่างเงียบงัน
หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็ลุกขึ้นมาอีกครั้ง มองมาทางนายท่านเจ็ดที่อยู่ข้างนอก
“มีอะไรหรือ” นายท่านเจ็ดถาม
“ตอนกลางวันตระหนักรู้ไม่ได้ ต้องมีแสงจันทร์ขอรับ” สวี่ชิงลังเลเล็กน้อย เอ่ยตามจริง
นายท่านเจ็ดพึมพำประโยคที่สวี่ชิงฟังไม่ถนัด จากนั้นก็สะบัดมือ ทันใดนั้นท้องฟ้าเหนือศาลเจ้าก็เกิดเมฆหมอกตลบอวลทันที เพียงพริบตาเมฆดำก็รายล้อม บดบังแสงอาทิตย์ ปกคลุมทั่วทุกสารทิศ ทำให้พื้นที่แห่งนี้ที่มีศาลเจ้าเป็นศูนย์กลางมืดมิด
ยิ่งไปกว่านั้น ในความมืดมิดนี้ ในเมฆดำมีกระจกบานหนึ่งปรากฏขึ้น ในกระจกบานนี้มีแสงจันทร์ส่องออกมา จากการหมุนของหน้ากระจก แสงจันทร์กลุ่มหนึ่งก็ฉายลงมา สาดทอไปที่ศาลเจ้า ตกกระทบไปที่เทวรูปสลัก
เสี้ยวพริบตาต่อมา เงาดาบก็ก่อขึ้นรอบๆ เทวรูปสลัก


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา