บทที่ 27 คนผู้นั้นงามดั่งหยก
ป่าในยามราตรี มีเสียงหมาป่าหอนก้องกังวาน
แต่เสียงนี้ปรากฏมาเพียงชั่วครู่ ก็ค่อยๆ เงียบหายไป ราวกับมีตัวตนที่ดุร้ายยิ่งกว่าพวกมันกำลังเดินอยู่อย่างโดดเดี่ยว
สวี่ชิงเดินอยู่ท่ามกลางความมืด ความเสียใจของเขาไม่อาจถูกกลบฝังไว้ใต้ก้นบึ้งจิตใจได้อย่างรวดเร็ว เขาที่เติบโตมาจากถ้ำยาจก เดิมทีก็เคยชินกับการจากลาอยู่แล้ว ทว่าครั้งนี้กลับหยั่งลึกเหลือเกิน
ความรู้สึกวูบโหวงในใจ ทำให้อารมณ์ของเขาดำดิ่ง ร่างเงาก็ยิ่งส่งเสียงหวีดหวิวท่ามกลางความเงียบงัน
จนกระทั่งตอนเกือบฟ้าสาง เขาที่เดินมาทั้งคืน จึงมองเห็นฐานที่มั่นภายใต้แสงอรุณ
ในฐานที่มั่น ดวงไฟบางตา
สวี่ชิงคิดถึงแต่ก่อน ไม่ว่าตนเองจะกลับจากพื้นที่ต้องห้ามดึกดื่นเพียงใด ก็ล้วนมองเห็นไฟจากที่พักแห่งหนึ่ง ที่จุดสว่างเพื่อเขาอยู่เสมอ
แต่วันนี้ ทิศทางนั้น ไฟก็น้อยลงไปแล้วดวงหนึ่งตลอดกาล
ความเหงารุนแรงขึ้น สวี่ชิงเดินเข้าไปในฐานที่มั่นเงียบๆ เดินไปอยู่เบื้องหน้าที่พักที่มืดสนิท ผลักประตูเปิด เห็นสุนัขป่าสิบกว่าตัวด้านในเรือน พวกมันก็มองเขาเงียบๆ เช่นกัน
เงยหน้าขึ้นมองห้องนอนทั้งสาม มืดสนิทไปทั้งแถบ
ไม่มีควันจากครัว ไม่มีแสงไฟ ไม่มีกลิ่นอาย
ในห้องครัวยังเหลือข้าวเย็นเมื่อวานอยู่
สวี่ชิงเดินเข้าไป มองชามตะเกียบสามชุดบนโต๊ะ หลังจากนิ่งเหม่ออยู่นาน ก็นั่งลงตรงนั้นแล้วก้มหน้ากินกับข้าวที่เย็นชืด
หลังจากกลืนลงไปช้าๆ ทีละคำๆ เขาก็ล้างชามตะเกียบ เก็บกวาดครัว สูดลมหายใจลึก กลับมายังห้องของตนเอง
หลับตาลง แล้วเริ่มฝึกบำเพ็ญ
และด้านนอกเรือนเวลานี้ ชายชราชุดม่วงกับคนติดตามก็กำลังยืนอยู่ตรงนั้น สายตาเหมือนมองทะลุทุกสิ่ง จนมองเห็นสวี่ชิงที่อยู่ด้านใน
พวกเขานิ่งเงียบ ผ่านไปครู่หนึ่งชายชราชุดม่วงจึงถอนหายใจแผ่วเบา
“ช่างเป็นเด็กที่จิตใจดีเสียเหลือเกิน”
“นายท่านเจ็ด พวกเราจะให้ตรากับเขาสักชิ้นดีหรือไม่ขอรับ” คนติดตามมองชายชราชุดม่วง
“รอจนพวกเราเข้าไปเก็บดอกเมฆาพาฝันที่ปรมาจารย์ไป่ต้องการกลับมาจากพื้นที่ต้องห้ามส่วนลึกก่อนเถิด” พูดจบ ร่างของชายชราชุดม่วงก็ค่อยๆ สลายไป คนติดตามข้างกายพยักหน้า และสลายหายไปเช่นเดียวกัน
…
และเช่นนี้ หนึ่งคืนก็ผ่านไป
สวี่ชิงที่เดินออกจากห้องนอนในเช้าตรู่วันถัดมา ก็มองไปยังห้องที่หัวหน้าเหลยอยู่อย่างเคยชิน แต่ไม่นานก็หลุบสายตากลับมา เดินไปหาปรมาจารย์ไป่เพื่อเล่าเรียนอย่างเงียบๆ และกลับมาอย่างเงียบๆ เช่นกัน
ทำอาหารคนเดียว บนโต๊ะเขายังคงจัดชามตะเกียบไว้สามชุด นั่งกินไปเงียบๆ
คอยเหลือบตามองไปยังที่นั่งของหัวหน้าเหลยเคยนั่งอยู่เนืองๆ ที่ตรงนั้น…เมื่อหายไปคนหนึ่ง เสียงสนทนาก็หายไปด้วยเช่นกัน
ตลอดมื้ออาหารเงียบสงัด ความรู้สึกเหงาหงอยแผ่ซ่านในใจสวี่ชิงอีกครั้ง และก็ถูกเขากดข่มลงไป
กินข้าวลำพังจนเสร็จ หลังจากเก็บกวาดชามตะเกียบ เขาก็นำอาหารสุนัขป่าออกมา โยนเอาไว้ในเรือน
เมื่อเห็นฝูงสุนัขป่ากินอาหาร สวี่ชิงก็กลับไปที่ห้องนอน นั่งสมาธิต่อ
วันคืนผ่านไปเช่นนี้ เพียงไม่นานก็เป็นวันที่หกที่หัวหน้าเหลยจากไป
สวี่ชิงเอาความเสียใจฝังไว้ใต้ก้นบึ้งจิตใจ กลับมาเย็นชาดังเช่นปกติ แต่ถ้ามองอย่างละเอียดแล้วก็จะพบว่าความเย็นชาของเขานั้นเย็นเยียบยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
นอกจากตอนไปเรียนกับปรมาจารย์ไป่แล้ว ในเวลาอื่น ความระแวดระวังตัวของสวี่ชิงยังคงมีอยู่ตลอด ท่าทางเช่นนี้เขาคุ้นเคยดี เพราะหกปีก่อนหน้า นี่…คือท่าทางปกติของเขา
ประดุจหมาป่าเดียวดาย
เรื่องการฝึกบำเพ็ญของเขาก็พยายามยิ่งกว่าในอดีต และเหมือนว่าการทำเช่นนี้ จะสามารถทำให้เขากลับมาคุ้นเคยกับการอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้รวดเร็วที่สุด จนกระทั่งกลางดึกคืนที่เจ็ด พลังบำเพ็ญของสวี่ชิงก็ทะลวงขั้น
จากเคล็ดคีรีสมุทรขั้นสี่ ทะลวงมาถึงขั้นที่ห้า
สุนัขป่าด้านนอกเหล่านั้นสัมผัสได้ถึงแรงกดดัน จากเสียงปึงปังก้องสะท้อนในร่างกาย ทยอยถอยหลังด้วยอาการสั่นเทา ราวกับว่าในห้องของสวี่ชิง มีกลิ่นอายที่ทำให้พวกมันหวาดผวาอยู่
ครั้งนี้ เสียงในร่างกายสวี่ชิงดังต่อเนื่องยาวนาน
กระทั่งดูจากเวลาก็ยังใช้มากกว่าก่อนหน้านี้
ผ่านไปครึ่งชั่วยามเต็ม ขณะที่รูขุมขนทั้งตัวของสวี่ชิงมีสิ่งปนเปื้อนหลั่งทะลักออกมามากที่สุด ดวงตาของเขาก็เบิกขึ้นฉับพลัน
ในพริบตานั้นทั่วทั้งห้องมีแสงม่วงสว่างวาบแล้วดับไป
และพริบตาที่เขาเบิกตานั้น ร่างกายของสวี่ชิงก็มีเสียงกรอบแกรบดังก้อง ราวกับกระดูกกำลังยืดยาว เลือดเนื้อกำลังยืดขยาย ความรู้สึกราวกับถูกฉีกทึ้งก็ตามมาด้วยเช่นกัน
แต่ทั้งหมดนี้สำหรับสวี่ชิงแล้ว ยังอยู่ในขอบเขตที่เขาทนรับไหว
ระหว่างอดทนอย่างเงียบๆ ก็ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม ขณะที่ทุกอย่างทยอยเสร็จสิ้นอย่างช้าๆ สวี่ชิงลุกขึ้นยืน เสื้อผ้าของเขากลับสั้นลงท่อนหนึ่ง
ร่างกายที่สูงชะลูด แม้จะไม่ถึงขั้นถอดร่างเปลี่ยนกระดูก แต่ก็ใกล้เคียง ราวกับนำมาหลอมใหม่
โดยเฉพาะหน้าตา เนื่องจากในร่างกายเป็นความบริสุทธิ์ทั้งหมด ไม่มีไอพลังประหลาด
สิ่งนี้ทำให้ความหล่อเหลาที่มีแต่เดิมทีของเขาชัดเจนมากขึ้น เมื่อรวมกับความเย็นชา ก็ยิ่งทำให้เขามีเสน่ห์น่าพิศวงที่แม้แต่คราบสกปรกก็ยังไม่อาจปิดบังได้
แต่สวี่ชิงก็ไม่ใส่ใจสิ่งเหล่านี้ เขาเดินออกจากห้อง หลังจากทดสอบความเร็วแล้ว เขาก็ต่อยขึ้นไปบนฟ้าหนึ่งหมัด เสียงดั่งฟ้าผ่าดังกัมปนาท พลังของมันมหาศาลมากกว่าขั้นสี่ไม่ใช่แค่เท่าตัว!
ที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่า ก็คือขณะที่หมัดของเขาซัดออกไป คลื่นพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งปรากฏภาพมายาเงาของเซียวออกมา ในปากมีเขี้ยวแหลมราวกับผีร้าย!
“นี่คือพลังระดับหนึ่งเซียวหรือ” สวี่ชิงมองกำปั้นของตนเองผาดหนึ่ง พึมพำออกมาเสียงต่ำ ท่ามกลางสุนัขป่าที่สั่นกลัวอยู่รอบๆ
เคล็ดคีรีสมุทรเคยกล่าวไว้ว่าทุกๆ ขั้นจะเพิ่มพลังหนึ่งพยัคฆ์ และห้าพยัคฆ์เท่ากับหนึ่งเซียว สองเซียวเท่ากับหนึ่งขุย
แต่หลังจากสวี่ชิงคิดดูแล้วก็รู้สึกว่า ตนเองไม่สอดคล้องกับสิ่งที่บรรยายไว้ในเคล็ดคีรีสมุทรเลย
พลังของตนเองเวลานี้เกรงว่าจะมาถึงระดับเจ็ดแปดพยัคฆ์แล้ว ความเร็วเองก็เช่นกัน กระทั่งเขายังมั่นใจด้วยว่า หากตนเองฝึกเคล็ดคีรีสมุทรไปถึงขั้นหก ก็จะมีระดับพลังเทียบเท่าสองเซียวเลยทีเดียว
“น่าจะเพราะผลจากผลึกวารีสีม่วง แล้วก็ดาบเทพเจ้าที่เลียนแบบมาจากศาลเจ้านั่นแน่ๆ”


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา