บทที่ 271 ทั้งระดับบนระดับล่างล้วนเจ้าเล่ห์ทั้งนั้น
“เรื่องนี้เจ้าสามรับผิดชอบกระจายข่าว ข้ารับผิดชอบรับหน้าเจรจา สวี่ชิงเจ้าอยู่เฉยๆ เป็นพระเอกก็พอ เจ้าสี่ส่วน ข้าสองคนสามส่วน” นายกองเอ่ยอย่างรวดเร็ว
“ใช่แล้ว ข้าจะไปกระจายข่าว บอกว่าสวี่ชิงก็จะท้าสู้กับอัจฉริยะฟ้าประทานของพันธมิตรเหมือนกัน” ศิษย์พี่สามยิ้มตาหยี เอ่ยเสียงเบา
“ใช่แล้ว บอกว่าครั้งนี้เขาไม่ได้ท้าสู้ทั้งหมด แต่เลือกสู้สามสี่คน ทำการท้าสู้เป็นตาย!” นายกองเอาผิงกั่วออกมา กัดกินอีกคำ
“รายชื่อโดยละเอียดยังไม่ได้กำหนด ข้ากำลังพิจารณาว่าจะท้าสู้ใคร” สวี่ชิงคิดๆ แล้วเอ่ยขึ้น สามคนมองหน้ากัน
นายกองคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ศิษย์พี่สามหน้าตาอ่อนโยน สวี่ชิงสีหน้าสงบนิ่ง
“เอาตามนี้แล้วกัน คนของพันธมิตรพวกนั้นก็ไม่ใช่คนโง่ ขอเพียงแค่มีสมองสักหน่อยล้วนคิดได้ว่าต้องส่งของกำนัลมาสักหน่อยแล้ว” นายกองกระแอมไอแล้วมองซ้ายมองขวา
“พวกเจ้าสองคนแช่ต่อเลย ข้าจะไปสระอื่นดูสักหน่อย ที่นี่ลูกศิษย์หญิงน้อยเหลือเกิน” พูดแล้วนายกองก็ลุกขึ้นจากไป ศิษย์พี่สามก็บิดขี้เกียจ หลังจากบอกกับสวี่ชิงสองสามคำแล้ว ก็เข้าไปใกล้ลูกศิษย์จากสำนักอื่นๆ ที่อยู่ในสระ ใบหน้าแฝงด้วยความอ่อนโยน หน้าตาท่าทางไม่เป็นพิษเป็นภัย
สวี่ชิงไม่สนใจ หลับตากำหนดลมหายใจเงียบๆ
แต่ไม่นานนักสวี่ชิงก็ลืมตา เขาเห็นลูกศิษย์หญิงของพันธมิตรคนหนึ่งกำลังเข้ามาใกล้ตน ใบหน้าแดงเรื่อ นั่งลงอย่างระมัดระวัง
ส่วนศิษย์พี่สามทางนั้น สวี่ชิงกวาดสายตาไป พบว่าเขากำลังพูดคุยหัวเราะกับลูกศิษย์พัธมิตรกลุ่มหนึ่ง ท่าทางสมัครสมานกลมเกลียวมาก
สวี่ชิงเงียบนิ่ง เขารู้ว่าเนื่องจากพลังวิญญาณของสระน้ำลบล้างการอำพรางบางอย่างของตัวเอง
แม้จะไม่ได้หายไปหมด นอกเสียจากคนใกล้ชิดคุ้นเคยกันดีแล้วยากที่จะมองออกให้ทันที แต่ต่อให้เปิดเผยออกมาเพียงบางส่วน แต่รูปโฉมของเขาก็ยังคงฉายความงดงามล้ำออกมาอยู่ดี
หลังจากขบคิดครู่หนึ่ง สวี่ชิงหลับตานั่งสมาธิต่อไป แต่ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ต้องลืมตาขึ้น
รอบๆ เขามีลูกศิษย์หญิงมาอีกสามคน แต่ละคนล้วนนั่งรอบตัวเขา ต่างซุบซิบพูดคุยคล้ายว่ากำลังวิพากษ์วิจารณ์หน้าตาของเขา กระทั่งว่ามีลูกศิษย์หญิงที่ใจกล้ามากคนหนึ่ง สังเกตเห็นสวี่ชิงลืมตาก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“ศิษย์น้องผู้นี้ เจ้าอยู่สำนักใดหรือ หน้าตาไม่คุ้นเลย”
สวี่ชิงไม่พูดจา หลับตาลง
เวลาไหลไป หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม นายกองกินผิงกั่วพลางครวญเพลงหงุงหงิงกลับมาจากที่ไกล เขารู้สึกว่าสระอื่นก็ไม่น่าสนใจ ลูกศิษย์หญิงน้อยลงเรื่อยๆ ดังนั้นแล้วจึงกลับมาหาสวี่ชิงและเจ้าสาม
แต่เมื่อเดินเข้ามาใกล้สระน้ำ มองเห็นที่นี่ชัดเจนแล้ว นายกองก็ตาเบิกกว้างทันที เพลงหยุดชะงัก ผิงกั่วยังลืมที่จะกัดกิน เขามองไปยังสระน้ำที่ก่อนจากไปยังค่อนข้างว่างโล่งอยู่เลยอย่างอึ้งตะลึง
ที่นี่ตอนนี้…ผู้บำเพ็ญเยอะมาก อีกทั้งกว่าครึ่งล้วนเป็นลูกศิษย์หญิง
เจ้าสามอยู่ข้างสระ โอบซ้ายกอดขวา กำลังซุบซิบอะไรกับลูกศิษย์หญิงสี่ห้าคน ประเดี๋ยวๆ ก็สร้างเสียงหัวเราะให้กับลูกศิษย์หญิงเหล่านั้น
และอีกข้างหนึ่ง เงาของสวี่ชิงบริเวณหลืบมุมได้หายไปแล้ว รอบๆ บริเวณที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญหญิง
ภาพนี้ทำให้นายกองถอนหายใจ เขารู้แล้วว่าทำไมสระอื่นๆ ลูกศิษย์หญิงถึงได้น้อย ดังนั้นแล้วจึงรีบก้าวไปเร็วๆ อย่างไม่ยอมจำนน จะลงสระเช่นกัน
แต่ที่นี่คนเยอะมาก นายกองกำลังจะลงไป ลูกศิษย์หญิงใบหน้ากลมมีกระคนหนึ่งก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่พอใจ ปรายตามองเขาแวบหนึ่ง
“ตรงนี้ไม่มีที่แล้ว เจ้าเป็นผู้ชายตัวใหญ่โตอย่าได้ลงมาอีกเลย ไปสระอื่นไม่ได้หรือไร”
เห็นศิษย์พี่ใหญ่ถูกตำหนิ เจ้าสามก็หัวเราะ ลูบๆ ศีรษะของลูกศิษย์หญิงที่อยู่ข้างๆ ลุกขึ้นจากสระ ดึงนายกองที่ใบหน้าบูดบึ้งจากไป
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น เจ้าสี่เล่า” นายกองหันกลับไปมองสระน้ำ
“เจ้าสี่ไปตั้งนานแล้ว ส่วนสถานการณ์ที่นี่เกิดอะไรขึ้น ศิษย์พี่ใหญ่ท่านยังเดาไม่ออกอีกหรือ”
“รูปโฉมงดงาม บ่อเกิดแห่งหายนะ” นายกองทอดถอนใจอีกครั้ง
ส่วนสวี่ชิงในตอนนี้กลับที่พักแล้ว กำลังขัดสมาธินั่งสมาธิ พลังวิญญาณในกายเขาเข้มข้น ต้องพูดจริงๆ เลยว่าแม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเทพวิเศษอัศจรรย์จริงๆ สวี่ชิงรู้สึกว่าหากฝึกบำเพ็ญในนั้นนานๆ ต่อให้เป็นคนที่ในร่างมีไอพลังประหลาดเยอะเพียงใด ไอพลังประหลาดก็จะค่อยๆ น้อยลงเรื่อยๆ
แม้จะไม่สามารถแก้ได้ถึงต้นตอ ยังคงมีไอพลังประหลาดก่อขึ้นช้าๆ แต่ฝึกฝนที่นี่ระยะยาว ทำได้ถึงไอพลังประหลาดน้อยนิดจนแทบไม่มีก็นับว่าทำได้
“มิน่าเล่า พันธมิตรถึงได้กระตุ้นของวิเศษเวทต้องห้ามทำลายเขื่อนสำนักนำบารมี ผันน้ำจากแม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเทพมา” สวี่ชิงเงยหน้า ทอดสายตามองไปทางทิศตะวันออก
ทิศนั้นเป็นเขตพ้นที่ตั้งของสำนักเซียนล้ำบารมี และเป็นบริเวณที่แม่น้ำบรรพกาลเร้นหมื่นเทพไหลเข้าและออก มีแม่น้ำสสามช่วงอยู่ในพื้นที่ของสำนักเซียนล้ำบารมี
จินตนาการได้ว่าสำนักเซียนล้ำบารมีที่มีแม่น้ำสายนี้ไหลผ่าน ย่อมได้ผลประโยชน์ที่ได้ย่อมมีมากที่สุด
สวี่ชิงหลับตานั่งสมาธิต่อ
หนึ่งคืนผ่านไป
ยามเช้าวันที่สองมาเยือน กลุ่มเจรจาที่สำนักเจ็ดเนตรโลหิตจัดตั้งกลุ่มขึ้นก็เริ่มพูดคุยกับพันธมิตรเจ็ดสำนักอย่างเป็นทางการ หารือรายละเอียดเรื่องเลือกสถานที่และเข้าร่วม
เรื่องราวที่เกี่ยวพันกับการเข้าร่วมของสำนักบนสำนักหนึ่งเป็นการกำหนดบ่งบอกว่าการหารือครั้งนี้ไม่มีทางสิ้นสุดโดยจบเร็ว เรื่องแต่ละด้านที่เกี่ยวพันในนั้นยุ่งยากซับซ้อนนัก ยกตัวอย่างเช่น การขยายค่ายกล การรับช่วงต่อกิจการ และการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์ และอื่นๆ อีกมากมาย
ในฐานะที่สวี่ชิงในฐานะที่เป็นสมาชิกเข้าร่วม หลังจากร่วมได้เพียงครึ่งเดียวก็รู้สึกน่าเบื่อนัก จึงกลับมายังที่พักฝึกฝนต่อเสียเลย เขาผสานตะเกียงลมครวญเจ็ดสีไว้ในกายได้แล้ว อีกทั้งหลังจากควบคุมมันได้โดยสมบูรณ์ สวี่ชิงก็พบการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ
นั่นก็คือ…หลังจากที่มีตะเกียงแห่งชีวิตสองดวงแล้ว พวกมันเพิ่มพลังให้กันเองด้วย!
เรื่องนี้ทำให้สวี่ชิงสนใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นสมาธิทั้งหมดจึงอยู่กับเรื่องนี้ ไปทำการค้นหาและทดลองอย่างละเอียด
และส่วนองค์ชายองค์หญิงจากยอดเขาอื่นๆ ที่เลือกไม่เข้าร่วมด้วยเหมือนเขาก็มีจำนวนไม่น้อย ส่วนใหญ่แล้วแค่มาให้เห็นหน้าแล้วหาเหตุผลชิ่งหนีออกมา เริ่มทำการท้าสู้



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา