เข้าสู่ระบบผ่าน

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา นิยาย บท 299

บทที่ 299 เพลงชื่อว่าโศกกำสรด

เวลาไหลผ่านไป

ในคืนที่อีกสองวันจะถึงบริเวณที่สวี่ชิงเจอสำนักโลกันต์ทมิฬก่อนหน้านี้ ดวงดาวเปล่งประกายระยิบระยับพราวพร่างทั่วฟ้า แสงจันทร์นวลกระจ่างสาดทอราวม่าน

มองไกลๆ ท้องฟ้ายามราตรีกว้างใหญ่ ผืนดินเงียบสงบ แสงดาวและแสงจันทร์สอดประสานไหลวน สว่างไสวล้ำลึก สาดส่องไปในโลก

บนเรือเวทมีเสียงขลุ่ยผิวดังกังวานมา

ไม่ใช่เสียงโหยหวนอีกต่อไป แต่เป็นเสียงขลุ่ยที่มาพร้อมทำนอง จังหวะ ยิ่งไปกว่านั้นคือแฝงด้วยจิตสังหารที่ต่างไปจากเสียงขลุ่ยของจอมเซียนจื่อเสวียน

ความรู้สึกนี้มาจากท่วงทำนองจังหวะที่เร็ว เหมือนทวนทองอาชาเหล็ก ทำศึกไปทั่วทั้งแปดทิศ แต่ไม่นานนักทำนองก็เปลี่ยนไป เหมือนสงครามสิ้นสุดลง หลังจากที่กระดูกกลาดเกลื่อนไปทั่วหัวระแหง เหล่าผู้คนที่รอดชีวิตเงยหน้ามองท้องฟ้า มีข้อสงสัยที่ไม่อาจอธิบายได้กับฟ้าดินมากมาย

ในขณะที่ความงุนงงสับสนยิ่งแฝงอยู่ภายใน ก็คล้ายว่าคนที่เป่าขลุ่ยผสานอารมณ์ความคิดของตัวเองลงไปในเสียงขลุ่ย ดังสะท้อนไปไม่หยุด

เพียงแต่ทุกอย่างนี้ หากคนที่เชี่ยวชาญขลุ่ยได้ยินเข้า ก็จะฟังความอ่อนหัดของเพลงนี้ออก รู้ว่านี่เป็นผู้เริ่มเรียนคนหนึ่งกำลังเป่าอยู่

แต่เห็นได้ชัดว่าดนตรีเกิดจากใจ อยากจะศึกษาให้เป็นไม่ใช่เรื่องยากลำบาก อย่างน้อยๆ สำหรับสวี่ชิงก็เป็นเช่นนี้

เขาในตอนนี้อยู่ในชุดนักพรตสีม่วงแกมทองทั้งร่าง มือถือขลุ่ยผิวกิ่งหลิวสีเขียวมรกต ขณะที่นั่งขัดสมาธิชุดนักพรตระอยู่บนกระดานเรือ ผมยาวปลิวพริ้วไปตามลม แสงจันทร์ที่ขับเน้นราวเกิดหมอกแสงพราย

คิ้วของเขาราวกระบี่ ดวงตาแฝงด้วยความล้ำลึก สายตาหลุบต่ำลงเล็กน้อย ขลุ่ยผิวกิ่งหลิวที่อยู่หน้าริมฝีปากบดบังใบหน้าที่งดงามราวปีศาจไปเล็กน้อย เมื่อร่วมกับมือเรียวยาวทั้งสองข้างที่อยู่เยื้องไปทางซ้ายของขลุ่ยผิวกิ่งหลิว คนส่วนมากเห็นต่างต้องชื่นชมว่าเป็นเด็กหนุ่มรูปงาม

และท่าทางเป่าขลุ่ยอย่างจริงจังของเขาก็ยิ่งฉายเสน่ห์อันยากจะพรรณาออกมา ทำให้ในดวงตาที่หรี่เล็กน้อยของจอมเซียนจื่อเสวียนที่มือข้างหนึ่งเท้ามวยผมดำ เอนพิงเก้าอี้กุ้ยเฟยที่ทำจากไม้เมฆาพรายแสงพันปีสิ่งฉายประกายแปลกประหลาด

ประกายแสงนี้เข้มข้น เสียงขลุ่ยค่อยๆ เพี้ยน

สวี่ชิงเลือกที่จะหลับตา

เวลาช่วงนี้สำหรับเขาแล้วคือการฝึกฝนที่ยากอธิบายอย่างหนึ่ง เขาไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้ และไม่รู้ว่าควรจะจัดการอย่างไร ดังนั้นนอกจากนั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญแล้ว สมาธิส่วนใหญ่ของเขาก็อยู่ที่ความรู้ที่ได้ศึกษาใหม่นี้

สำหรับความรู้ สวี่ชิงให้ความเคารพมาโดยตลอด และชื่นชอบที่จะเรียนรู้มาโดยตลอด

ยกตัวอย่างเช่นนายท่านเจ็ดสอนเขาเล่นหมากล้อมในตอนนั้น หลังจากนั้นสวี่ชิงก็มีกระดานหมากล้อมผุดขึ้นมาในหัวบ้างเป็นครั้งคราว

ขลุ่ยที่จอมเซียนจื่อเสวียนสอนในตอนนี้สวี่ชิงยิ่งชอบมาจากใจ เขาไม่ใช่คนที่พูดเก่ง และเสียงขลุ่ยก็พรรณาความรู้สึกนึกคิดของเขาไปในฟ้าดินได้ดียิ่งขึ้น

เพียงแต่สายตาที่มาจากจอมเซียนจื่อเสวียนทำให้สวี่ชิงทำตัวไม่ถูก

เขามองบรรพจารย์สำนักโลกันต์ทมิฬคนนี้ไม่ออก

และไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายต้องมาหยอกล้อตน

เขารู้สึกว่าพลังบำเพ็ญถึงระดับนี้ รูปลักษณ์ภายนอกไม่ใช่สิ่งสำคัญแล้ว นอกจากนั้น ช่วงนี้เขาเห็นอีกฝ่ายลงมือเจ็ดครั้งแล้ว

ทุกครั้งล้วนง่ายๆ ทุกครั้งล้วนเป็นทุกอย่างสลายหายไปจนสิ้น

ความตายอยู่ที่ปลายนิ้วจอมเซียนจื่อเสวียน ไม่เห็นเลือดแม้เพียงหยดเดียว

และเหตุผลของการสังหารก็เป็นเพราะอีกฝ่ายรนหาที่ตายเอง แผ่จิตคิดร้ายออกมา ทว่าก็มีบางครั้งที่ตัดสินจากความพอใจของจอมเซียนจื่อเสวียน

ยกตัวอย่างเช่นเมื่อวาน ผู้บำเพ็ญต่างเผ่าคนหนึ่งเพียงแค่มองนางกลางอากาศนานหน่อย เสี้ยวพริบตาต่อมาผู้บำเพ็ญต่างเผ่าคนนั้นก็กลายเป็นเถ้าธุลี สลายไปในฟ้าดิน

ทุกครั้งในเสี้ยวเวลานั้นความจริงสวี่ชิงรู้สึกค่อนข้างเสียดายวิญญาณ เขาต้องการวิญญาณหนึ่งร้อยยี่สิบดวงมาสะกดช่องเวท เพียงแต่เรื่องนี้สวี่ชิงพูดลำบาก

ในขณะเดียวกัน สวี่ชิงก็เห็นบางอย่างที่จอมเซียนจื่อเสวียนต่างจากคนทั่วไป นางล้วนมีจิตเมตตากับรัฐเล็กๆ ยากจนข้นแค้นที่อยู่ตามแม่น้ำเหล่านั้น มักจะสะบัดมือแก้ปัญหาเรื่องทางโลกบางอย่าง

ยกตัวอย่างเช่นเมื่อหลายวันก่อนพวกเขาผ่านรัฐเล็กๆ รัฐหนึ่ง รัฐนี้ช่วงนี้มีโจรร้ายเพ่นพ่าน ยากจะจับตัว เรื่องนี้เป็นธรรมดา ผู้บำเพ็ญโดยพื้นแล้วไม่มีทางสนใจ แต่จอมเซียนจื่อเสวียนกลับสะบัดมือจับโจรออกมา ก็หายไปไร้ร่องรอย

นี่ทำให้ความเข้าใจในตัวจอมเซียนจื่อเสวียนของสวี่ชิงเต็มไปด้วยหมอก

บุคลิกของจอมเซียนจื่อเสวียนก็เปลี่ยนแปลงยากคาดเดาเช่นกัน บางครั้งนางก็เหมือนเด็กสาว ความเบิกบานเขียนอยู่บนหน้า ลงจากเรือไปเพราะเห็นดอกไม้สวยดอกหนึ่งบนเขา และเก็บมันมา

บางครั้งนางก็เต็มไปด้วยความองอาจห้าวหาญ ดื่มสุราอึกแล้วอึกเล่า เส้นผมปลิวพริ้ว เต็มไปด้วยประกายแสงจันทร์

และบางครั้งบนร่างของนางก็เย็นยะเยือกนัก เมื่อลงมือก็คือการฆ่าล้างสังหาร

และบางครั้งบนร่างของนางยิ่งฉายเสน่ห์รุนแรงออกมา ความงามที่ฉายออกมายามยิ้มยามขมวดคิ้ว ทำให้คนหลงใหล

และจอมเซียนจื่อเสวียนก็มีเวลาที่อ่อนโยน ทุกครั้งที่เสียงขลุ่ยของสวี่ชิงผิด ในตัวนางก็จะแผ่ความอ่อนโยนประดุจสายน้ำออกมา บอกสวี่ชิงด้วยเสียงแผ่วเบา แก้จุดผิดให้เขา

ไร้เดียงสา เย็นชา สง่างาม องอาจ ทรงเสน่ห์ อ่อนโยน…สวี่ชิงไม่เคยเห็นใครมีบุคลิกแตกต่างมากมายในคนคนเดียวแบบนี้

จวบจนสองวันหลังจากนั้น สวี่ชิงก็ได้เห็นบุคลิกอีกแบบหนึ่งในตัวจอมเซียนจื่อเสวียน

บทที่ 299 เพลงชื่อว่าโศกกำสรด 1

บทที่ 299 เพลงชื่อว่าโศกกำสรด 2

บทที่ 299 เพลงชื่อว่าโศกกำสรด 3

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา