บทที่ 34 เจอกันโดยบังเอิญ
ในหมู่ศาลเจ้า ซากศพกลาดเกลื่อน
มีศพขององครักษ์ มีศพผู้ติดตาม และมีศพของผู้เยาว์ที่เข้าใจความอันตรายของพื้นที่ต้องห้ามแต่เพียงในตำรา บนใบหน้าพวกเขาล้วนประทับความหวาดกลัวในยามมีชีวิตเอาไว้ มองท้องฟ้าอย่างไร้ชีวิต
นอกจากนั้นก็เป็นแมงกะพรุนที่ตายไปแล้ว
แมงกะพรุนเมื่อตายไปแล้วก็จะกลายเป็นวัตถุในสภาวะโคลนสีเทา ไม่เหมือนกับมนุษย์ ทั้งยังส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งออกมาเป็นระลอกๆ ต่างจากความงดงามพร่างพรายในตอนที่มีชีวิตอยู่ไปโดยสิ้นเชิง
ในขณะเดียวกันยังส่งไอพลังประหลาดเข้มข้นเป็นอย่างยิ่งออกมาโจมตีรอบๆ กัดกินทุกสิ่ง
และเคราะห์ภัยที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไป
ฝูงแมงกะพรุนรุกไล่ตามการล่าถอยอย่างตื่นกลัวลนลานของเหล่าเด็กหนุ่มสาวกลุ่มนี้ไปอย่างรวดเร็ว รอบนอกผืนป่าพื้นที่ต้องห้ามแห่งนี้ การฆ่าสังหารและความตายยังคงดำเนินต่อไป
ยามที่สวี่ชิงมาถึงหมู่ศาลเจ้า ก็เป็นเวลาหนึ่งชั่วยามหลังจากนั้นไปแล้ว
เดินเข้ามาในหมู่ศาลเจ้า สวี่ชิงมองศพที่เกลื่อนกลาดบนพื้น อารมณ์บนใบหน้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก
ศพ เขาเห็นมามากมายเหลือเกินแล้ว
ผ่านร่างขององครักษ์และผู้ติดตามที่อยู่ไปทั่วทุกที่ สวี่ชิงเก็บแมงกะพรุนที่ตายไปแล้วบางตัว เตรียมกลับไปศึกษาค้นคว้าสักหน่อย
สำหรับสิ่งของในตัวของศพเหล่านี้ก็ถูกกัดกินโดยไอพลังประหลาดเข้มข้นที่เกิดขึ้นหลังจากแมงกะพรุนตายไปแล้วทั้งหมด ใช้การไม่ได้แล้ว
จวบจนกระทั่งสวี่ชิงเดินมายังข้างๆ ศพๆ หนึ่ง ฝีเท้าของเขาก็พลันหยุดลง
นี่เป็นศพของชายชราคนหนึ่ง ที่หน้าอกมีรูใหญ่ เลือดที่ไหลออกมาแห้งไปแล้ว ในดวงตาหม่นแสงที่เบิกโพลงคู่นั้นคล้ายความเสียดายในยามมีชีวิตจะยังคงหลงเหลืออยู่
มองศพศพนี้ สวี่ชิงถอนหายใจเบาๆ
เขาไม่ใช่เทพ ดังนั้นต่อให้อีกฝ่ายซื้อประกันของเขา แต่ก็ไม่มีทางรับประกันความปลอดภัยของอีกฝ่ายได้โดยสมบูรณ์ โดยเฉพาะในยามที่หมอกยังไม่ปรากฏขึ้นยิ่งเป็นเช่นนั้น
หลังจากที่นิ่งงันไป สวี่ชิงก็ย่อตัวลง ปิดตาที่เบิกโพลงของตาแก่หัวแข็ง แล้วฝังเขา
ไม่มีป้ายหลุมศพ เพราะหัวหน้าเหลยเคยบอกเอาไว้ คนเก็บกวาดในยามที่มีชีวิตล้วนไม่มีญาติกันทั้งนั้น ไม่ต้องเซ่นไหว้
ธุลีสู่ธุลี ดินสู่ดิน
นี่ก็คือชีวิตของคนเก็บกวาด ยามมีชีวิตอยู่ก็ดิ้นรนในโลก เมื่อตาย…แค่เงียบสงบก็พอแล้ว
ความเงียบเหงาเศร้าโศกเช่นนี้ ความจริงแล้วก็เป็นจุดจบของคนเก็บกวาดส่วนมากทั้งนั้น
ยืนอยู่หน้าหลุมศพของตาแก่หัวแข็ง สวี่ชิงมองไปยังที่มั่นรอบนอกพื้นที่ต้องห้ามที่อยู่ที่ไกลๆ นึกย้อนถึงชีวิตในช่วงสองสามเดือนนี้
เขามาถึงฐานที่มั่นคนเก็บกวาดแห่งนี้ได้เป็นเดือนที่สี่แล้ว
หัวหน้ากลุ่มเงาโลหิตตายแล้ว อีกาเพลิงตายแล้ว เจ้าอ้วนเจ้าม้าตายแล้ว ผีเถื่อนตายแล้ว ตาแก่หัวแข็งตายแล้ว หัวหน้าเหลยรามือ ดาบกระดูกรนหาที่ตาย และยังมีคนเก็บกวาดที่มากกว่านี้ตายจากไปอย่างเงียบๆ
โลกาวินาศอันโหดร้าย ชีวิตคนไร้ค่าไร้ราคา
“มีเพียงตัวเองต้องแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้นถึงจะมีชีวิตรอดต่อไปได้” สวี่ชิงพึมพำ สีหน้าค่อยๆ เย็นชาขึ้น หันหลังเดินจากไป
ตอนนี้แสงอาทิตย์ยามสนธยา ลมพัดมาทำให้เสื้อของเด็กหนุ่มที่จากไปไกลสะบัดปลิว
เสียงนี้เหมือนแฝงไว้ด้วยความเย็นชานิดๆ ค่อยๆ เบาลง แล้วตามเงาร่างนี้หายไปในป่าพร้อมกัน
แสงยามโพล้เพล้สาดส่อง ประกายแสงสว่างค่อยๆ อ่อนลง แต่ก็ยังคงพยายามส่องผ่านใบไม้หนาทึบ อยากจะส่องแสงอันน้อยนิดไปบนร่างของเด็กหนุ่มที่วิ่งทะยานในป่าคนหนึ่ง
แต่เด็กหนุ่มเร็วเหลือเกิน แสงเหมือนจะไล่ตามอย่างไร้เรี่ยวแรงอยู่บ้าง
ไม่นาน จู่ๆ ฝีเท้าของสวี่ชิงก็หยุดชะงัก หลังจากที่หยุดเขาก็ก้มมองพื้น ในดวงตาฉายแววฉงน
ไม่นาน สวี่ชิงก็ย่อตัวลง ดมอย่างละเอียด สุดท้ายสายตาก็จับจ้องไปที่ใบไม้ใบหนึ่ง บนนั้นมีผงแป้งที่ยากจะสังเกตเห็นได้กลุ่มหนึ่ง
หากไม่ใช่ว่าสวี่ชิงมีความรู้เรื่องสมุนไพรพิษอย่างถ่องแท้ และรู้กลิ่นของพื้นที่ต้องห้ามแห่งนี้เป็นอย่างดีแล้วล่ะก็ น่ากลัวว่าคงยากจะสังเกตถึงความผิดปกติ
ตอนนี้ก็วิเคราะห์เป็นเวลานาน เขาถึงได้หยิบใบไม้ที่เปื้อนผงแป้งขึ้นมา หลังจากที่รวบรวมสมาธิอยู่ครู่หนึ่งก็พูดพึมพำ
“ไม่รู้ส่วนประกอบโดยละเอียด แต่ข้างในจะต้องมีเลือดของตะขาบวงรอบแน่นอน!”
ในดวงตาสวี่ชิงมีประกายแสงฉายวาบขึ้นมา วิชาของปรมาจารย์ไป่มีพูดถึงเรื่องตะขาบวงรอบ
เลือดชนิดนี้มีสรรพคุณยาในระดับหนึ่ง แต่เหนือกว่านั้นคือเป็นตัวเร่งปฏิกริยา ดังนั้นเมื่อรวมกับยาอื่นๆ ก็จะสามารถปรุงเป็นตัวยาที่เอาไว้ดึงดูดสัตว์พิเศษ มักจะเป็นที่ต้องการในยามล่าสัตว์
“การมาเยือนของแมงกะพรุนพวกนั้นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ” สวี่ชิงหรี่ตา วางใบไม้ที่อันตรายร้ายกาจใบนี้ลง หยิบผงพิษห่อหนึ่งออกมาแล้วโปรยไปบนร่าง
หลังจากที่ใช้มันลบล้างกลิ่นเลือดตะขาบวงรอบที่เปื้อนเมื่อครู่ ร่างเขาก็ไหววูบ เปลี่ยนทิศทางในการเคลื่อนไปข้างหน้า
สวี่ชิงไม่คิดจะมุ่งหน้าไปยังทางที่เด็กหนุ่มสาวที่ตาแก่หัวแข็งพามาเหล่านั้นถอยหนี เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวพันด้วย
ต่อให้ในคนพวกนี้มีสหายของเฉินเฟยหยวน เขาก็ไม่มีหน้าที่ที่จะต้องไปช่วย อีกทั้งข้างกายคนพวกนี้ยังมีผู้แข็งแกร่งที่สามารถสู้กับแมงกะพรุนตัวใหญ่ได้ สำหรับสวี่ชิงก็เป็นอันตรายเช่นกัน
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ในบรรดาเด็กหนุ่มสาวพวกนี้ มีความเป็นไปได้ว่ามีคนจงใจล่อแมงกะพรุนมา จุดประสงค์คืออะไรไม่อาจทราบได้
ดังนั้นหลังจากจับตำแหน่งของพวกเขาได้ สวี่ชิงก็เปลี่ยนทิศทาง อ้อมออกไป เมื่อฟ้ามืดแล้วจึงกลับมายังห้องยาในหุบเขาอีกครั้ง
หลังจากวางสมุนไพรที่เก็บเกี่ยวกลับมาเรียบร้อย เขาก็มาศึกษาวิจัยลูกกลอนขาวต่อ
เพียงแต่ แม้ว่าสวี่ชิงจะไม่ได้ไปยังบริเวณที่เด็กหนุ่มสาวเหล่านั้นล่าถอย แต่ในยามดึก สวี่ชิงที่ปรุงสมุนไพรอยู่ในห้องยาก็ยังได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหวและเสียงคำรามสังหารมาจากที่ไกลๆ อีกทั้งยังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ นี่ทำให้เขาขมวดคิ้วขึ้นมา



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา