บทที่ 349 เมืองมรรคาสวรรค์พ้นพันธะ
คำพูดของนายกองมีคำเตือนด้วย
หากไม่เข้าใจนายกอง คงคิดว่านายกองห่วงสวี่ชิงจะอดออกไปช่วงชิงตะเกียงแห่งชีวิตของอีกฝ่ายไม่ได้ ก่อเรื่องยุ่งยากใหญ่โต
แต่เมื่อคำพูดนี้ถึงหูสวี่ชิง เขาก็เข้าใจสิ่งที่นายกองจะสื่อเป็นอย่างดี
กำลังบอกกับเขาว่า จะลงมือไม่ใช่ปัญหา แต่ว่าจะเหลือพยานไว้ไม่ได้และต้องวางแผนให้รัดกุม นอกจากนี้อย่าลืมเรียกเขาไปด้วย
แต่สวี่ชิงไม่มีความคิดจะไปแย่งชิงอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่ แต่เพราะไม่เคยรู้จักกัน และไม่มีบ่วงกรรมที่จะต้องเอาชีวิตด้วย
สวี่ชิงจึงส่ายหน้า
“ข้าสู้เขาไม่ได้”
นายกองเลิกคิ้ว ยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม
“นี่ยังปิดบังข้าอีกหรือ อาชิงน้อย พลังต่อสู้ของเจ้าตอนนี้ น่าจะเทียบกับห้าวังสวรรค์ได้แล้วกระมัง”
สวี่ชิงไม่พูดอะไร มองออกไปยังฟ้าดินไกลๆ จุดที่มองคือสุดปลายทางเหนือ ซึ่งเป็นทั้งสถานที่ที่ตั้งของเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ และยังทางออกจากมณฑลรับเสด็จราชันอีกด้วย
“ศิษย์พี่ใหญ่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขารุ่งอรุณอยู่ที่ใด” สวี่ชิงเอ่ยถามเสียงแผ่ว
“เขารุ่งอรุณ? ข้าคิดก่อนนะ…” นายกองชะงัก ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“เหมือนข้าเคยเห็นบนแผนที่ของเขตปกครองผนึกสมุทร อยู่ไม่ไกลจากเขตปกครองผนึกสมุทรเท่าไร ว่ากันว่าที่นั่นเคยเป็นสุสานของดวงตะวันบรรพกาลด้วย”
สวี่ชิงพยักหน้า ไม่พูดอะไรอีก
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปอีกครั้ง เส้นทางถัดจากนี้ราบรื่นมาก ระหว่างนี้ยังพบกับเรือเหาะที่รูปร่างประหลาดอีกบางส่วน เป้าหมายล้วนเป็นที่เดียวกัน มีสัญลักษณ์หรือธงตัวแทนเผ่าต่างๆ ตั้งตระหง่านอยู่ด้านบน
ผู้บำเพ็ญด้านในอายุไม่มากนัก ยิ่งไปกว่านั้นพลังบำเพ็ญก็ไม่ธรรมดา
การรับสมัครเข้ารับการทดสอบของโถงครองกระบี่ สำหรับขั้วอำนาจเผ่ามนุษย์ของมณฑลรับเสด็จราชันแล้วถือเป็นเรื่องใหญ่ เหล่าอัจฉริยะฟ้าประทานที่มาจากสำนักน้อยใหญ่ล้วนตรงมายังที่แห่งนี้ในช่วงนี้เพื่อเข้าร่วมการทดสอบ
ถึงอย่างไรการกลายเป็นผู้ครองกระบี่ ไม่ว่าจะในสำนักหรือนอกสำนัก สถานะก็ล้วนแตกต่าง และยังมีอนาคตกับวาสนาที่ดีกว่าด้วย
ดังนั้นจึงผ่านไปอีกเดือนอย่างรวดเร็ว
สวี่ชิงที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือไกลๆ ในที่สุดก็เห็นเสายักษ์ที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินเสานั้น
เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะหนานับพันจั้ง สีดำสนิท สลักอักขระและรูปสักการะเอาไว้นับไม่ถ้วน แผ่พลานุภาพยิ่งใหญ่ไพศาลที่ยากจะพรรณนาออกมา
มองอย่างละเอียด ในทุกลายอักขระล้วนแฝงท่วงทำนองเต๋าไว้ด้วย ราวกับก่อร่างฟ้าดินขึ้นมาด้วยตนเอง
รูปสักการะก็เช่นกัน สลักภาพอสูรกลายพันธุ์รวมถึงร่างเงาเอาไว้มากมาย ทุกๆ ร่างแผ่ซ่านแรงกดดันที่น่ากลัวออกมา
ทั้งหมดนี้ เพียงพอที่จะทำให้คนที่เห็นอดเกิดความรู้สึกต่ำต้อยจนต้องเคารพบูชาไม่ได้
มองไป เสาที่ราวกับค้ำสวรรค์นี้จมหายไปในชั้นเมฆ มองไม่เห็นยอดด้านบน เห็นเหมือนมีตำหนักแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางท้องฟ้าในหมอกเมฆรางๆ
คอยสะกดเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ คอยสะกดทุกสรรพสิ่ง
แต่พลังสะกดนี้ กลับไม่สามารถสกัดเจตจำนงต่อสู้โถมฟ้าของเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะได้เลย ราวกับว่าเคยเป็นอาวุธที่สั่นสะเทือนฟ้า มีสรรพชีวิตที่ต้องตายเพราะมันมากมายมหาศาล ทำให้ด้านในแฝงปราณอาฆาตที่น่าสะพรึงเอาไว้
เพียงแต่ปราณอาฆาตเหล่านี้ถูกสะกดด้วยพลานุภาพเจตจำนงต่อสู้ ไม่สามารถแผ่ออกไปได้แม้แต่น้อย ทำได้เพียงร้องโหยหวนอย่างเงียบงัน ดังก้องอยู่ในใจของคนที่จ้องมองเสานี้
สวี่ชิงใจสั่น และสิ่งที่ยิ่งทำให้ดวงตาของเขาล้ำลึกมากขึ้นคือเขาจักรพรรดิภูตในทะเลความรู้สึกกำลังสั่นไหวเล็กน้อย
ราวกับถูกเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะนี้ดึงดูด ขณะเดียวกัน…เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะต้นนี้ ก็สั่นสะเทือนขึ้นเบาๆ ครู่หนึ่ง
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก แต่เขาไม่ปลกใจเพราะที่เขาไตรวิญญาณสะกดมรรคาก่อนหน้านี้ ร่างของจักรพรรดิภูตเองก็เป็นเช่นนี้ เพียงแต่เหมือนจะรุนแรงกว่าเล็กน้อย
เวลานี้นายกองยืนอยู่ข้างๆ สวี่ชิง เอ่ยอย่างทอดถอนใจ
“คนรุ่นหลังวิเคราะห์จักรพรรดิภูตไว้ว่า อาวุธเล่มนี้น่าจะเป็นอาวุธที่สำคัญที่สุดของเขา คอยติดตามออกปราบปรามฟ้าดิน สังหารสะกดกับเขาสารทิศ และที่มาของจักรพรรดิภูตก็ลึกลับ ไม่มีใครรู้ว่าเขามาจากเผ่าใด รู้เพียงว่าตอนที่เขาเกิดมาไม่ดีนัก สำเร็จมรรคาหลังจากที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้ามาถึง
“ไม่รู้ว่าศัตรูของเขาคือผู้ใด รู้แค่ว่าช่วงที่เขาใกล้จะตายได้หลบหนีมาที่นี่ โยนอาวุธในมือทิ้ง ร่วงลงสู่ที่ราบน้ำแข็ง ส่วนตนเองก็หลับตาอยู่ที่ชายหาด เลือกตายในท่านั่งสมาธิ
“มีคนบอกว่า จุดที่เขาตายในท่านั่งสมาธิหันหน้ามองไปยังมหาสมุทรทางใต้ไกลๆ ราวกับว่ากำลังเฝ้ารออะไรบางอย่าง”
เสียงของนายกองแผ่วลงเรื่อยๆ
สวี่ชิงสัมผัสเขาจักรพรรดิภูตในทะเลความรู้สึก จ้องมองใบหน้าที่แม้จะยังดูเลือนรางแต่ก็ดูคลับคล้ายกับใบหน้าของตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ นิ่งงันไม่พูดจา
ดวงตาของเขา มองแผ่นดินใหญ่ที่เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะตั้งอยู่
แผ่นดินใหญ่หิมะขาวโพลน มีกระโจมหลังคาทรงกลมนับไม่ถ้วนตั้งล้อมอยู่รอบๆ เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะต้นนี้มากมายนับแสนหลัง กินอาณาเขตกว้างขวาง ราวกับเป็นเมืองพิเศษเมืองหนึ่ง
ที่นี่ไม่มีมนุษย์สามัญอยู่ ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญจากทั่วสารทิศ ในนี้มีผู้บำเพ็ญไร้สังกัดเป็นส่วนใหญ่ และทั้งหมดล้วนเป็นเผ่ามนุษย์ ไม่มีต่างเผ่าอยู่เลย
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะไม่ได้มีเงื่อนไขใดๆ เกี่ยวกับผู้ที่มาเยือน จะเข้าพักก็ดี จะฝึกบำเพ็ญก็ช่าง ล้วนอยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆ ได้
มีเงื่อนไขเพียงข้อเดียว คือต้องเป็นเผ่ามนุษย์เท่านั้น
และความแปลกประหลาดของตัวเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ คือเจตจำนงการต่อสู้ที่แผ่ซ่านอยู่ หากสัมผัสรับรู้เป็นเวลานาน จะมีตราประทับวิญญาณปรากฏขึ้นในใจ มีส่วนช่วยสนับสนุนการฝึกบำเพ็ญอย่างมาก
นอกจากนี้ ด้านในเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะก็ยังแฝงสิ่งสืบทอดบางอย่างไว้ด้วย ขอแค่เป็นเผ่ามนุษย์ก็สามารถปีนป่ายได้ หากวาสนามาถึง ก็จะได้สัมผัสรับรู้
ดังนั้นผู้บำเพ็ญไร้สังกัดเผ่ามนุษย์จึงมารวมตัวกันที่นี่มากขึ้นเรื่อยๆ และเวลานี้แผ่นดินใหญ่ก็คึกคักไปหมด
มีสำนักไม่น้อยที่มาถึงแล้วตั้งกระโจมเป็นอาณาเขต ตั้งชูธงของสำนักตนเองขึ้นมา โดยเฉพาะพวกขั้วอำนาจใหญ่หลายแห่งในมณฑลรับเสด็จราชันที่สะดุดตามากที่สุดในบรรดานี้

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา