เข้าสู่ระบบผ่าน

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา นิยาย บท 350

บทที่ 350 จดหมายจากจอมเซียนจื่อเสวียน

จากเสียงที่ดังก้องไปทั่วทั้งเมืองเผ่ามนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วนในนั้นต่างเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว มองไปทางท้องฟ้า

เห็นเพียงบนท้องฟ้ามีเงาร่างหนึ่งเดินออกมาจากในเมฆหมอกที่ปลายเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ

คนผู้นี้เป็นชายวัยกลางคน สวมชุดขุนนางทรงอำนาจน่าเกรงขาม ที่ศีรษะสวมหมวกนภาครามขลิบเงิน มือทั้งสองสวมถุงมือติดเกล็ดสีม่วง ที่หลังแบกกระบี่เล่มใหญ่ที่ถูกผ้าสีดำพันเอาไว้เผยให้เห็นเพียงด้ามกระบี่

ข้างหลังเขามีหุบเหวลึกขนาดมหึมาประดุจคลื่นวนสามลูกปรากฏขึ้นจากการเดินออกมา

หุบเหวทั้งสามนี้ไม่ว่าจะเป็นหุบเหวใดล้วนเหมือนปรากฏการณ์ประหลาดในฟ้าดิน ในขณะเดียวกับที่สั่นสะเทือนทั่วทุกสารทิศ ทุกหุบเหวในนั้นล้วนเหมือนแฝงไว้ด้วยพลังระดับสมบัติลับ

เหมือนมีเสียงกรีดร้องและคำรามโหยหวนดังออกมาจากในสมบัติลับทั้งสามคลังนี้อยู่รางๆ เหมือนว่ามีสิ่งโหดเหี้ยมน่าสะพรึงถูกสะกดอยู่ในนั้น แผ่ซ่านระลอกคลื่นพลังน่าหวาดกลัวออกมาเป็นระลอกๆ

ฟ้าดินเปลี่ยนสี ในยามที่ลมเมฆหอบม้วน มือขวาของคนคนนี้ก็ยกขึ้นซัดหมัดไปยังท้องฟ้าที่ไกล

สมบัติลับสามคลังข้างหลังเขาปะทุจากการลงมือ แสงพรายรุ้งทะลักท่วมฟ้า ก่อเป็นกระบี่บินนับไม่ถ้วน กระจายไปทั่วทั้งฟ้าดิน ก่อเป็นสายน้ำไหลหลากสายหนึ่ง

กระบี่ทุกเล่มในนั้นล้วนแแผ่พลังชวนพรั่นพรึงออกมา เหมือนสามารถฉีกทึ้งท้องฟ้า บดขยี้มิติได้ ตอนนี้พุ่งออกไปทั้งหมด พุ่งตรงไปยังที่ไกล

ในขณะเดียวกัน เสียงคำรามโกรธเคืองก็ดังมาจากท้องฟ้าไกล เงาร่างรางเลือนทางหนึ่งปรากฏขึ้นที่ปลายขอบฟ้า คล้ายว่าก่อนหน้านี้อำพรางแอบซ่อน ตอนนี้เมื่ออยู่ภายใต้ระลอกคลื่นพลังก็ไม่อาจแอบซ่อนต่อไปได้อีก ต้องปรากฏร่างจริงออกมา

นี่เป็นอสูรร้ายที่อัปลักษณ์เป็นอย่างยิ่งตัวหนึ่ง

พูดให้ถูกต้องคือมันเหมือนหนอนยักษ์ตัวหนึ่งมากกว่า ร่างกายที่เนื้อหนังซ้อนทับเป็นชั้นๆ มีขนาดถึงพันจั้ง เต็มไปด้วยเมือกเหนียว ส่งกลิ่นเหม็นคาวเกินทนออกมา

หัวของมันยังมีรยางค์อีกสองอัน

บนรยางค์ทุกเส้นล้วนมีศีรษะอยู่ เป็นศีรษะชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ผิวเป็นสีเขียว ดวงตาแดงก่ำ เสียงคำรามก็คือเสียงพวกมันเปล่งออกมาพร้อมกัน

หางกระดกขึ้น บนนั้นก็ยังมีอีกศีรษะหนึ่งเช่นกัน เป็นคนแก่ ตอนนี้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป พ่นหมอกดำออกมา

หมอกแผ่ขยายปกคลุมไปรอบๆ ตัวมัน ทำให้ความเร็วในการถอยร่นของมันเร็วขึ้น

แต่ก็ยังช้าไป เสี้ยวขณะต่อมากระบี่บินนับไม่ถ้วนก็ประชิดเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทะลุผ่านร่างของสัตว์อสูรอัปลักษณ์ตัวนี้

ไม่ว่ามันจะต้านทานอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ เพียงพริบตาน่าของมันก็แหลกสลายไปภายใต้การสังหารจากกระบี่บิน

มีเพียงหัวทั้งสามที่สร้างหมอกดำนั่นกำลังหนีไปยังที่ไกลอย่างรวดเร็ว

แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นความคิดเพ้อฝัน ในเสี้ยวพริบตาที่ร่างของอสูรตัวนี้แหลกสลาย ผู้ครองกระบี่ในชุดขุนนางคนนั้นก็ก้าวมา เข้าประชิดอย่างเร็วรี่ เพียงยกมือขวาขึ้นกระบี่บินนับไม่ถ้วนก็รวมตัว ก่อเป็นเป็นกระบี่ยาวที่ส่องประกายแสงสีเขียวครามเล่มหนึ่งในมือเขาทันที

กระบี่ฟาดลงมา หัวผู้หญิงแหลกสลาย

กระบี่ที่สองหัวผู้ชายระเบิด

กระบี่ที่สามผู้ครองกระบี่ชุดขุนนางเพียงสะบัด กระบี่บินก็แปรเปลี่ยนเป็นมังกรเจียว[1]ตัวใหญ่สีเขียวครามตัวหนึ่ง ท่ามกลางเสียงคำรามก็กลืนหัวชายชราหัวสุดท้ายนั่นลงไปทันที

ทำทุกอย่างนี้เสร็จ ฟ้าดินก็เงียบสงบ ผู้บำเพ็ญบนพื้นทุกตนต่างจิตใจสั่นสะท้าน

“ช่วงนี้โถงกระบี่ได้รับคำสั่งให้สยบเขาไตรวิญญาณ จับตัวโยวจิงมาดำเนินคดี จึงมีภูตผีปีศาจบางตนคิดลองดี มาหยั่งเชิงที่นี่เป็นประจำ”

กลางท้องฟ้า ชายกลางคนชุดขุนนางเอ่ยเสียงราบเรียบ

“เช่นนั้นข้าขอพูดอีกครั้งถึงกฎของพวกเราโถงครองกระบี่ ที่นี่เป็นเขตต้องห้ามของต่างเผ่า ไม่ใช่เผ่ามนุษย์ห้ามเหยียบย่างเข้ามา!”

ชายกลางคนชุดขุนนางยกมือขวาขึ้น ประสานปางมือชี้ไปทางเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ ทันใดนั้นเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะก็สั่นไหว จิตต่อสู้ท่วมฟ้ากลุ่มหนึ่งปะทุออกมาจากในนั้นโดยไม่มีการสะกดควบคุมใดๆ ทั้งสิ้น

มาพร้อมกับการสังหารล้างบาง มาพร้อมด้วยความอำมหิตอันทรงพลัง พัดกวาดสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วสารทิศ

ท้องฟ้าทั่วระยะหมื่นลี้เกิดระลอกคลื่นพลังรุนแรง แข็งแกร่งทรงพลังเกินต้าน พื้นดินก็เช่นกัน จิตต่อสู้กลุ่มนี้มาพร้อมด้วยประสาทสัมผัสเทพ พัดกวาดไปยังผู้บำเพ็ญทุกคนอย่างรวดเร็ว

คล้ายว่ากำลังตรวจสอบแยกแยะ ในขณะที่สั่นคลอนผู้บำเพ็ญที่จับตามองที่นี่ทุกคน ก็มีเสียงบึ้มๆ ดังก้องทั้งในเมืองและในฟ้าดิน ในเมืองมีร่างมนุษย์หลายร้อยคนจู่ๆ ก็ระเบิด ดับดิ้นไปในทันที

บนท้องฟ้าก็มีเจ็ดแปดที่ที่เป็นเช่นนี้เช่นกัน มีเสียงน่าสังเวชโดยหวนดังมา

เมื่อทุกอย่างผ่านไป ฟ้าดินปลอดโปร่ง

ทำทุกอย่างเสร็จ ชายกลางคนชุดขุนนางคนนี้ก็เดินไปยังท้องฟ้าอย่างไม่แม้แต่จะหันกลับมา เพียงก้าวเดียวก็ก้าวเข้าไปในเมฆหมอก หายไปไร้ร่องรอย

แผ่นดินเงียบสงัด จวบจนหลังจากนั้นครู่หนึ่งถึงได้มีเสียงสูดลมหายใจและเสียงร้องตกใจดังขึ้น สวี่ชิงเองก็สูดลมหายใจเข้าลึก นายกองเองก็เช่นกัน

เมื่อครู่ประสาทสัมผัสเทพก็กวาดผ่านร่างของพวกเขาไปเช่นกัน ต่อให้รู้ว่าตัวเองเป็นเผ่ามนุษย์ ไม่มีทางมีปัญหาใดๆ แต่ในยามที่ประสาทสัมผัสเทพนั่นปกคลุมมา สวี่ชิงก็ยังประหวั่นพรั่นพรึงนัก สิ่งที่ยิ่งทำให้เขาจิตใจสั่นสะท้านก็ความทรงอำนาจที่มาจากโถงครองกระบี่

พลังบำเพ็ญของชายกลางคนชุดขุนนางคนนั้นเป็นระดับสมบัติวิญญาณอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่ระดับหวนสู่อนัตตา แต่ในเสี้ยวพริบตาที่เขาเดินออกมา ในเสี้ยวพริบตาที่เขาลงมือ บรรพจารย์ที่นำกลุ่มของแต่ละสำนักในเมืองเหมือนว่าทางด้านรัศมีอำนาจจะถูกเขาสยบ

“สิ่งที่สยบบรรพจารย์ของสำนักไม่ใช่พลังบำเพ็ญของคนคนนี้ แต่เป็นฐานะตำแหน่งของเขา”

สายหลักของมนุษย์ หนึ่งในห้ากรมทมิฬ โถงครองกระบี่!

จวบจนเมื่อผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป ผู้บำเพ็ญทั้งหลายในเมืองตั้งสติกลับมา ในสายตาของพวกเขาล้วนฉายประกายแรงกล้า มีหลายคนที่มองไปสุดปลายเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะอย่างอดไม่ได้

ที่นั่นคือสาขาหลักของโถงครองกระบี่มณฑลรับเสด็จราชัน

การลงมือของโถงครองกระบี่ครั้งนี้ทำให้ลูกศิษย์ที่มาถึงจากสำนักต่างๆ ส่วนมากเกิดจิตปรารถนาในโถงครองกระบี่อย่างแรงกล้า โดยเฉพาะนายกองยิ่งเป็นเช่นนั้น เขากระทั่งว่าจินตนาการตัวเองที่ได้กลายเป็นผู้ครองกระบี่ไปแล้ว

ส่วนสวี่ชิงแม้จะหวั่นไหวกับการเป็นผู้ครองกระบี่ แต่เขาให้ความสำคัญกับการสั่นไหวของเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะเมื่อครู่นี้มากกว่า

ในเสี้ยวพริบตาที่เสาต้นนั้นสั่นไหวเมื่อก่อนหน้านี้ สวี่ชิงสัมผัสได้ว่าเขาจักรพรรดิภูตในทะเลความรู้สึกของตัวเองก็สั่นไหวเช่นเดียวกัน ในขณะเดียวกันก็มีอักขระหลายสิบตัวลอยออกมาจากในนั้นด้วย

อักขระพวกนี้แผ่จิตต่อสู้อันแข็งแกร่งออกมา สวี่ชิงเมื่อสัมผัสได้ก็ครุ่นคิด

บทที่ 350 จดหมายจากจอมเซียนจื่อเสวียน 1

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา