บทที่ 375 กระบี่จักรพรรดิ
ในยามที่เสียงจากระฆังเต๋าของวังครองกระบี่เขตปกครองผนึกสมุทรดังสะท้อนอยู่นาน บนบันไดสูงกลางท้องฟ้าเมืองมรรคาสวรรค์พ้นพันธะมณฑลรับเสด็จราชัน จางซืออวิ้นสีหน้าเคร่งเครียด ไฟแห่งอารมณ์ที่ไม่อาจบรรยายได้ในใจกำลังลุกไหม้
ในฐานะที่เป็นบุคคลอันดับหนึ่งรุ่นหนุ่มสาวของมณฑลรับเสด็จราชันที่เป็นที่ยอมรับ เขาชินกับการถูกสายตาทุกคู่จับจ้อง แต่ตอนนี้เขากลับเป็นแค่ไม้ประดับที่น้อยครั้งจะเกิดขึ้นในชีวิตนี้ ไปมองประกายแสงพราวพร่างของคนอื่น
นี่ทำให้เขารู้สึกซับซ้อน โดยเฉพาะคิดถึงแม่และปรมาจารย์กำลังรอข่าวดีของตนที่เขตปกครองผนึกสมุทรอยู่ ยิ่งทำให้เขายิ่งเกลียดสวี่ชิงที่ทำลายเรื่องดีๆ ของเขาลึกเข้ากระดูกดำไปอีก
หากสวี่ชิงไม่ได้ใช้เล่ห์กลกับเขา เขามั่นใจว่าครั้งนี้จะทำสำเร็จสมปรารถนา เป้าหมายของเขาไม่ใช่ตะเกียงแห่งชีวิตในบ้านไม้ แต่เป็นของอีกสิ่งหนึ่งที่อยู่ในนั้น
แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลายเป็นเพียงความว่างเปล่า คิดอยากให้โถงครองกระบี่ยกเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะอีกครั้ง ก็ไม่รู้ต้องรออีกกี่ปีหลังจากนี้
“ทำให้ท่านแม่ผิดหวังแล้ว”
จางซืออวิ้นพึมพำ เขาไม่สนใจปรมาจารย์ เขาสนใจเพียงความรู้สึกของมารดาเท่านั้น
เนื่องจากบิดาจากไปก่อนวัยอันควร อีกทั้งมารดาก็ยังเข้มงวดกับเขา เขาจึงเคารพยำเกรงมารดามาตั้งแต่เด็กๆ
เขามุมานะบากบั่นขยันฝึกฝนมาโดยตลอด ไม่กล้าให้อีกฝ่ายผิดหวัง ในใจของเขายิ่งปรารถนาให้มารดาภูมิใจในตัวตน ความคิดนี้ได้กลายเป็นไฟร้อนแรงในใจเขาตอนนี้ แผดเผาอวัยวะภายใน ทำให้เขาเงยหน้าจ้องสวี่ชิงเขม็ง
สวี่ชิงไม่สนใจสายตาของจางซืออวิ้น ตอนนี้เขาเงยหน้ามองเทวรูปมหาจักรพรรดิ นานหลังจากนั้นก็โค้งคารวะเทวรูปสุดตัว
ผู้ครองกระบี่ทุกคนบนท้องฟ้าต่างจ้องเพ่ง ผู้บำเพ็ญทุกคนบนพื้นดินต่างเห็นกับตา
นอกจากทุกคนจะตื่นตะลึงแล้ว ยังรู้สึกสงสัยมากเป็นพิเศษ พวกเขาอยากรู้มากๆ ว่า มหาจักรพรรดิถามอะไร และสวี่ชิงตอบไปว่าอะไร
โดยเฉพาะนายกอง ในใจยิ่งเหมือนมีแมวมากมายหลายตัวกำลังฝนเล็บ ด้านหนึ่งเขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้รับความยุติธรรม อีกด้านหนึ่งก็เค้นสมองคิดจะหลอกถามสวี่ชิงอย่างไรให้ได้รู้คำตอบ
ท่ามกลางระลอกคลื่นอารมณ์อันซับซ้อน การคัดเลือกผู้ครองกระบี่ครั้งนี้ก็ปิดฉากลงเท่านี้
จากการเลือนหายไปของเทวรูปมหาจักรพรรดิ จากการรางเลือนไปของบันไดเจ็ดสี จากการหายไปของแสงพรายรุ้งทั่วฟ้า ทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติ
และพวกสวี่ชิงก็ได้รับแจ้งว่า พวกเขาต้องเดินทางไปวังครองกระบี่เขตปกครองผนึกสมุทรภายในหนึ่งปี
ที่นั่นพวกเขาจะได้รับมรดกผู้ครองกระบี่และแจกแจงตำแหน่งหน้าที่ และจะยิ่งมีโอกาสมากมายมหาศาล
นี่สำหรับผู้ครองกระบี่หน้าใหม่ทุกคนเป็นเรื่องที่สำคัญมาก อย่างแรกจะทำให้กำลังรบของพวกเขาเพิ่มขึ้นไม่น้อย อย่างหลังจะหมายถึงว่าเป็นตัวแทนของสายหลักเผ่ามนุษย์
นอกจากนี้เมืองหลวงเขตปกครองของเขตปกครองผนึกสมุทรในฐานะที่เป็นศูนย์กลางของเขตปกครอง ที่นั่นรวมอัจฉริยะโดดเด่นฟ้าประทานจากทั่วทุกมณฑลในเขตปกครองผนึกสมุทร
เผ่าต่างๆ ที่อยู่ในนั้นมีไม่น้อย อัจฉริยะเผ่าต่างๆ ล้วนไปสร้างอำนาจที่นั่น
หากสามารถผงาดในเมืองหลวงเขตปกครองได้ถึงจะนับว่าชื่อเสียงเลื่องลือของจริง เดินไปถึงจุดสูงสุดของเขตปกครองหนึ่ง
นี่ก็เป็นความคิดของอัจฉริยะสำนักต่างๆ จำนวนไม่น้อยที่อยากมาฝ่าฟันสร้างอนาคตขึ้นที่นี่ คิดอยากเป็นเจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณในยามที่ยังหนุ่มยังสาวก็สยบกำราบไปทั่วทุกสารทิศ
เช่นนี้แล้วจึงจะสามารถได้รับโอกาสที่มากขึ้น วาสนาที่มากขึ้น ถึงจะโดดเด่นก้าวล้ำผู้อื่นไปไกลได้ตลอดทาง สุดท้ายก็สามารถสยบยุคหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์
นี่คือเรื่องที่เจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณทุกคนทำ
เทียบกับเมืองหลวงเขตปกครองแล้ว มณฑลรับเสด็จราชันเป็นเพียงแค่พื้นที่ห่างไกลเท่านั้น
ที่นี่ห่างกับเขตปกครองผนึกสมุทรไกลมาก คั่นด้วยหลายมณฑล แม้จะมีค่ายกลขนาดใหญ่ส่งข้าม แต่โถงครองกระบี่ไม่มีทางให้ผู้ครองกระบี่ที่เพิ่งรับตำแหน่งใช้
ไม่ว่าจะมีฐานะตำแหน่งอะไร ขอเพียงไม่ใหญ่กว่าโถงครองกระบี่ เช่นนั้นผู้ครองกระบี่หน้าใหม่ก็จะต้องเดินทางด้วยตัวเอง
เพราะโถงครองกระบี่ไม่ใช่เรือนกระจกเพาะเลี้ยงดอกไม้ การเดินทางก็เป็นการฝึกฝนอย่างหนึ่ง
“จึงต้องคำนวณเผื่อเวลาให้ดี จากการคำนวณของศิษย์พี่ใหญ่อย่างข้าคนนี้ ระหว่างทางพวกเราสามารถใช้ค่ายกลส่งข้ามสาธารณะบางแห่งของมณฑลอื่นได้ หากเป็นเช่นนี้ประมาณเจ็ดแปดเดือนก็พอจะไปทัน
“เส้นทางและแผนการโดยละเอียดพวกเราไม่ต้องกังวล หลายปีมานี้ผู้ครองกระบี่ที่มาจากพันธมิตรแปดสำนักก็มีอยู่บ้าง ดังนั้นพันธมิตรในเขตปกครองสมุทรก็มีสำนักย่อย นับว่าเป็นฐานที่มั่นได้เหมือนกัน
“เดี๋ยวพวกเรากลับไปที่พันธมิตรย่อมมีคนช่วยพวกเราจัดการ ในเมื่อฐานะของพวกเราตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว”
หลังจากการคัดเลือกผู้ครองกระบี่จบสิ้น เสี่ยเลี่ยนจื่อก็ได้จัดงานเลี้ยงฉลองให้กับสวี่ชิงและนายกองในฐานที่มั่นของพันธมิตรแปดสำนัก ขณะที่งานเลี้ยงกำลังครึกครื้น นายกองก็ลากสวี่ชิงออกมาข้างนอก กระแอมขึ้นทีหนึ่ง เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“ดูนะ อาชิงน้อย ถนนมุ่งหน้าสู่สวรรค์สายนี้ เริ่มแรกก็เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าคนนี้พาเจ้าเดินมา เจ้าควรจะแสดงความขอบคุณกับข้าสักหน่อยหรือไม่ ระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องไม่ต้องพูดถึงหินวิญญาณให้เสียความรู้สึก เจ้าบอกคำตอบของเจ้าให้ข้าฟังก็พอ”
สวี่ชิงดื่มเหล้าเล็กน้อยในงานเลี้ยง ตอนนี้เงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน
จากลมหิมะที่พัดกระทบร่าง เขารู้สึกสบายมาก จึงหันไปมองนายกอง
“ศิษย์พี่ใหญ่ ตากับหูของท่านงอกออกมาแล้ว”
นายกองสีหน้าได้ใจ
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ของพวกนี้ข้าอยากให้งอกก็งอก เก่งกาจสุดๆ ใช่แล้วอาชิงน้อย เจ้า…”
สวี่ชิงถือผิงกั่วยื่นไปให้นายกอง
“นายกอง ยินดีด้วยที่ท่านได้เป็นผู้ครองกระบี่”
นายกองรับมาตามสัญชาตญาณ หลังจากกัดไปคำหนึ่ง กำลังจะเอ่ยถามต่อ สวี่ชิงก็นอนไปบนพื้นหิมะมันเสียเลย มองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว มองเสี้ยวหน้าเทพเจ้าที่ประเดี๋ยวเลือนรางประเดี๋ยวปรากฏในความมืดดวงนั้น เขาหยิบกาเหล้าขึ้นมา แล้วดื่มลงไปอึกใหญ่
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านบอกว่าเทพเจ้าคืออะไรกัน”
นายกองได้ยินก็เงยหน้ามองท้องฟ้า คิดๆ แล้วก็นั่งบนพื้นหิมะข้างสวี่ชิง กินผิงกั่ว เอ่ยเนิบนาบ
“เทพเจ้า หึๆ”
“อร่อยหรือไม่” นายกองตอบอย่างภูมิใจ
สวี่ชิงหัวเราะ เขารู้ว่านายกองไม่มีทางตอบประโยคนี้ต่อหน้าเทวรูปมหาจักรพรรดิแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่เปล่งแสงแค่จั้งเดียว
ลมหิมะแรงขึ้นเรื่อยๆ สวี่ชิงไม่พูดอะไรอีก เขานอนอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้หิมะร่วงหล่นบนใบหน้า นึกถึงคำพูดที่ตนพูดต่อหน้าเทวรูปมหาจักรพรรดิ
จากนั้นก็หัวเราะ ลุกขึ้นนั่งแล้วถ่มน้ำลายออกไปไกลหลายจั้งรดไปบนพื้นหิมะที่อยู่ไกลออกไป


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา