บทที่ 410 หมื่นขุนเขาม่านหมอกเมฆบังฟ้าคราม
ขณะเดียวกัน ในกรมราชทัณฑ์เมืองหลวงเขตปกครอง เขตติงหนึ่งสามสอง
สวี่ชิงขมวดคิ้ว มองยังบริเวณที่เด็กชายหายตัวไป หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็เดินไปยังห้องขังที่เผ่าจิตรกรรมอยู่
บางทีอาจเป็นการข่มขู่ของเจ้าเงาก่อนหน้านี้ ดังนั้นชายชราเผ่าจิตรกรรมครั้งนี้ไม่ได้ซ่อนตัว แต่ทันทีที่เห็นสวี่ชิงก็รีบเข้ามาใกล้ลูกกรง
“สุ่ยม่อจื่อนักโทษเผ่าจิตรกรรม คารวะใต้เท้าผู้ดูแล”
“มันคืออะไร” สวี่ชิงมองชายชราร่างรางเรือนข้างหน้าคนนี้ เอ่ยถามเสียงต่ำทุ้ม
“เรียนตอบใต้เท้าผู้ดูแล มันคือโชคชะตา!” ชายชราไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น ตอบเสียงต่ำ
สวี่ชิงได้ยินดังนั้นสายตาก็แปรเปลี่ยนมาเหี้ยมโหด
ภายใต้สายตาของเขา ร่างของชายชราสั่นสะท้านเล็กน้อย เขารู้สึกว่าผู้ดูแลข้างหน้าคนนี้ไม่เหมือนกับผู้ดูแลพวกนั้นที่ตนเคยเจอเอาเสียเลย
และความจริงแล้วเขาก็ไม่สนใจพวกผู้ดูแล ในเมื่อเผ่าพันธุ์ของเขาพิเศษ รู้สึกว่าต่อให้คนในภาพวาดพวกนี้ทำลายภาชนะของตัวเองก็ไม่เป็นไร ล้วนเป็นภาพมายาก็เท่านั้น
แต่เสี้ยวพริบตาเมื่อครู่ วิกฤตเป็นตายที่มาจากเงาที่แผ่ลามมาของผู้ดูแลที่อยู่ข้างหน้าคนนี้ ทำให้เขามีความรู้สึกรุนแรงอย่างหนึ่งว่า อีกฝ่ายกินตนได้
นี่ทำให้เขาตื่นตระหนก ในเมื่อถูกกินจะเจ็บปวดมาก
ดังนั้นเมื่อเขาสังเกตการเปลี่ยนแปลงของสายตาสวี่ชิงก็รีบเอ่ยต่อไปว่า
“ใต้เท้าผู้ดูแล ข้าน้อยก็ไม่รู้ว่าทำไมโชคชะตานั่นถึงอยู่ที่นี่ ตอนที่ข้าถูกขังมันก็มีอยู่แล้ว
“ต้องขอขอบคุณใต้เท้าผู้ดูแลเป็นอย่างยิ่งที่ช่วยเหลือ เพราะโชคชะตานั่นชอบแปลงกายมาอยู่ในโลกเผ่าจิตรกรรมของพวกเรา มีมันอยู่ข้าไม่กล้าปรากฏตัว ข้ามีความรู้สึกว่ามันก็อยากกินข้าเหมือนกัน
“ดังนั้นก่อนหน้านี้ข้าจึงไม่อาจเตือนใต้เท้าได้ ขอใต้เท้าผู้ดูแลได้โปรดอภัย”
ชายชรารีบอธิบาย เขาก็รู้ว่าคำพูดนี้น่าจะไม่มีใครเชื่อ เพราะเขาก็รู้ดีว่าตัวเองตลอดมาไม่ได้มีความคิดจะเตือนพัศดีเลย
แต่คำพูดนี้จะอย่างไรก็ต้องพูด
ในเมื่อบางครั้งอธิบายกับไม่อธิบาย ในความหมายแล้วแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
อย่างน้อยนี่ก็เป็นการแสดงถึงท่าทีจริงจังของตัวเอง
สวี่ชิงมองชายชราเผ่าจิตรกรรมอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง เขาไม่ได้ชอบคำพูดของอีกฝ่ายสักเท่าไร และขี้เกียจจะไปสอบเค้น
ตอนนี้หลังจากหันหลังเดินออกไปจากประตูคุกแล้ว สวี่ชิงก็แผ่เจ้าเงา สั่งให้มันคอยดูแลที่นี่
นี่นับว่าให้รางวัลมันแล้ว
เจ้าเงาตื่นเต้นทันที เหมือนได้ของเล่นชิ้นใหม่ แผ่ระลอกคลื่นอารมณ์ดีใจ แบ่งออกไปเป็นสิบสี่ส่วนอย่างรวดเร็ว แผ่ปกคลุมไปในห้องขังทั้งสิบสี่ห้อง
อสูรเมฆาไม่กินอะไรแล้ว เพราะเจ้าเงาสงสัยใคร่รู้กำลังช่วยมันกิน
ผู้หญิงตัวสั่นเทิ้มหนักกว่าเดิม ไม่ไปกล่อมตุ๊กตาฟางนอนแล้ว เพราะหลังจากเจ้าเงาปรากฏตัว ตุ๊กตาฟางพวกนั้นต่างลุกขึ้นมาด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา ล้อมรอบเจ้าเงา เชื่อฟังเป็นอย่างยิ่ง
สุดท้ายกระทั่งว่าล้อมรอบผู้หญิงคนนั้นกับมัน คอยจ้องจะตะครุบ
โม่ยังคงหมุนอยู่ต่อไป เพียงแต่ไม่ได้หมุนด้วยตัวเอง แต่เป็นศีรษะนั้นกำลังดันอย่างสุดกำลัง
ทั้งสองฝ่ายต่างตื่นกลัว เพราะห้องขังของพวกมันมีแส้เงาเส้นหนึ่งปรากฏขึ้น ฟาดลงมาไม่หยุด
ในภาพวาดเผ่าจิตรกรรม สีหน้าของเงายี่สิบร่างล้วนเปลี่ยนจากรอยยิ้มเป็นแววหวาดกลัว เพราะร่างของเจ้าเงาเกาะอยู่ข้างบน เลียไปเลียมา
ทั้งห้องขัง ในเสี้ยวขณะนี้เต็มไปด้วยความสุขสงบ
มีเพียงเด็กชายคนนั้นที่ที่ปรากฏออกมามองสวี่ชิงบ้างเป็นบางครั้ง สายตามักจะจับจ้องไปที่ข้อมือขวาของเขาเสมอ ความสงสัยค่อยๆ ลดลงไม่รุนแรงเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้ จนสุดท้ายเขาก็นั่งขัดสมาธิตรงข้ามกับสวี่ชิงเสียเลย เท้าคางจ้องสวี่ชิง
สวี่ชิงก็มองเขาเช่นกัน
เขารู้ เด็กชายคนนี้ก็คือความลับของเขตติงหนึ่งสามสอง
เวลาหมุนผ่านไปเช่นนี้ ไม่นานก็ผ่านไปครึ่งเดือน
ในเวลาครึ่งเดือนนี้ สวี่ชิงออกไปข้างนอกก็ไม่เจอเรื่องประหลาดแบบนั้นอีก ส่วนเขตติงหนึ่งสามสองภายใต้การดูแลของเขาก็เปลี่ยนมาปกติเป็นอย่างยิ่ง
เพียงแต่นักโทษในนั้นทุกครั้งที่มองสวี่ชิง ในดวงตาล้วนฉายแววหวาดกลัวเล็กน้อย
เพราะในตัวพวกมันมีของบางอย่างทยอยหายไป
ล้วนแต่เป็นฝีมือเจ้าเงาทั้งนั้น
ความสังสัยใคร่รู้ของมันสูงมาก มักจะชอบกินทางนี้หนึ่งคำ ทางนั้นหนึ่งคำ…ดีที่นักโทษพวกนี้แปลกประหลาด คืนเดียวผ่านไปก็งอกกลับมาใหม่
ในนั้นทางศีรษะนั้นไม่ทำตัวลึกลับอีกต่อไป เพียงแต่ในยามที่สวี่ชิงเดินผ่านในบางครั้ง มันจะถอนหายใจออกมา
“อย่าเหยียบข้า ข้าไม่อยากถูกเหยียบตาย เจ็บมากเลยนะนั่น”
ส่วนเด็กชายตัวน้อยก็คุ้นเคยกับสวี่ชิง โดยพื้นฐานแล้วทุกวันที่สวี่ชิงมา เขาก็จะปรากฏตัวขึ้น นั่งอยู่ข้างๆ
ท่าทางแบบนั้นเหมือนทำตามคำสัญญาอะไร ราวกับคอยปกป้อง
บางครั้งเขาก็จะไปหาเจ้าเงา มองเจ้าเงาข่มขู่นักโทษ
ส่วนบรรพจารย์สำนักวัชระ…ภายใต้ใบหน้าน่าสงสารของเขา สวี่ชิงก็ไม่ได้เก็บลงไปในถุงเก็บของ ดังนั้นแล้วพลทหารในเขตหนึ่งสามสองนอกจากเจ้าเงาแล้ว ยังมีบรรพจารย์สำนักวัชระเพิ่มขึ้นมา
เขาสนใจโม่นั่นมากๆ ไม่รู้ว่าเจรจากับเจ้าเงาอย่างไร สุดท้ายโม่นั่นก็มาอยู่ภายใต้การดูแลของเขา
ส่วนนักโทษที่เจ้าเงาสนใจมากที่สุดก็ยังเป็นเผ่าจิตรกรรม มันชอบเกาะอยู่ข้างบน ประเดี๋ยวๆ ก็เลียสักครั้งหนึ่ง
เมื่อนานเข้าภาพนั้นก็รางเลือนไป
มองทุกอย่างนี้ สวี่ชิงคำนวณเวลาในใจ จากการพูดคุยกับพัศดีคนอื่นๆ ในเวลาครึ่งเดือนนี้ เขาก็ได้รู้ว่าพัศดีของกรมราชทัณฑ์ทุกเดือนล้วนต้องจัดการจำนวนของนักโทษ
แต่จะแบ่งสัดส่วนตามจำนวนของนักโทษในห้องขัง สวี่ชิงคำนวณดู ตัวเองได้สิทธิ์เพียงสองคนเท่านั้น
เขาค่อนข้างเสียดาย
ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา