บทที่ 434 ข้าไม่ลงนรกแล้วใครจะลงนรก
“เอ๋” นายกองตะลึง ไม่เข้าใจนัยยะที่จู่ๆ สวี่ชิงก็พูดออกมาเช่นนี้ จึงรู้สึกแปลกใจขึ้นมา
“เกี่ยวอะไรกับข้า มีอะไร อาชิงน้อย โอ้อวดกับข้าหรือ หากไม่ใช่จดหมายฉบับนั้นของข้า…”
สวี่ชิงมองนายกองผาดหนึ่ง
นายกองกระแอม
“หากไม่ใช่จดหมายฉบับนั้นของเจ้า…”
จากนั้นสีหน้าก็จริงจัง พูดขึ้นมาอย่างเคร่งขรึม
“พูดถึงเรื่องนี้ ข้าต้องตำหนิเจ้าสักหน่อย ความจริงข้าก็บอกเจ้าแต่แรกแล้วว่า พวกเราที่เป็นผู้บำเพ็ญต้องอยู่ตัวคนเดียว มีเพียงเช่นนี้เท่านั้นจึงจะมีเจตจำนงมุ่งมั่นดุจเหล็กกล้า ถึงจะทำให้ความคิดของตัวเองสมบูรณ์ ถึงจะทำให้เผชิญกับปัญหาทุกอย่างได้อย่างสุขุม!
“ผู้หญิง เหอะ อร่อยได้เท่าผิงกั่วหรือ” นายกองกัดผิงกั่วเต็มคำ สีหน้าฉายความไม่แยแส
“นั่นคือขุนเขาและหินยักษ์ที่ขัดขวางการบำเพ็ญ เป็นพันธนาการและนรกที่ส่งผลกระทบต่อการชักกระบี่ของพวกเรา เรื่องนี้เจ้าต้องระมัดระวังรอบคอบ อย่าได้เลียนแบบเจ้าสาม ก่อนหน้านี้ข้าโน้มน้าวให้เจ้ายอมตกเป็นของจอมเซียนจื่อเสวียน ก็มีความหมายในเชิงล้อเล่นเสียมากกว่า”
สวี่ชิงได้ยินก็คล้อยตาม ขบคิดอย่างละเอียด เขารู้สึกว่าที่นายกองพูดมามีเหตุผล ขณะครุ่นคิดก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ศิษย์พี่ใหญ่พูดได้ถูกต้อง เช่นนั้นข้าก็ไม่แนะนำสหายสนิทของจอมเซียนจื่อเสวียนให้ท่านแล้ว”
นายกองอึ้งตะลึง ดวงตาเบิกกว้าง ผิงกั่วก็ไม่กินมันแล้ว
“เจ้าว่าอะไรนะ แนะนำให้ข้าอย่างนั้นหรือ”
สวี่ชิงพยักหน้า สีหน้ามีความละอายเล็กน้อย
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าผิดไปแล้ว เดิมผู้อาวุโสหลี่ หลี่ซือเถาแห่งวังพิธีการคนนั้นให้ข้าแนะนำสหายข้างกายที่รู้จักกับนาง เป็นข้าที่สายตาคับแคบ นี่จะส่งผลกระทบต่อเจตจำนงและความเชื่อของศิษย์พี่ใหญ่”
“หลี่ซือเถาหรือ ฟังชื่อแล้วเหมือนว่าจะไม่เลว เอ่อ…สวยหรือไม่” จู่ๆ นายกองก็เอ่ยขึ้นมา
“พอใช้ได้” สวี่ชิงแปลกใจ พยักหน้าหงึกๆ
นายกองตื่นเต้น แต่กลับพยายามสะกดเอาไว้ ลุกขึ้น เอามือไพล่หลัง ถอนหายใจยาว เต็มไปด้วยความสะท้อนใจ
“ศิษย์น้องเล็ก…ศิษย์พี่ใหญ่คนนี้ อยู่ตัวคนเดียวมายี่สิบหกปีแล้ว ค่อนข้างจะนานไปสักหน่อย”
นายกองหันไปมองทางสวี่ชิง
“พวกเราผู้บำเพ็ญต้องตัวคนเดียว” สวี่ชิงลังเล
“พวกเราผู้บำเพ็ญ คู่ฝึก วิชา ทรัพย์ ที่ดิน คู่ฝึกสำคัญมาเป็นอันดับหนึ่ง!” นายกองเอ่ยอย่างจริงจัง
“ขุนเขาและหินยักษ์ที่ขัดขวางการบำเพ็ญ” สวี่ชิงลังเล
“ไม่เข้าใจขุนเขาลูกนี้จะข้ามอุปสรรคในท้ายที่สุดไปได้อย่างไร!” นายกองเอ่ยอย่างเอาจริงเอาจังมีเหตุผล
“พันธนาการและนรกที่ส่งผลกระทบต่อการชักกระบี่เล่าขอรับ” สวี่ชิงมองไปทางนายกอง
สีหน้าของนายกองสะท้อนใจ มองโลกนอกหน้าต่างหอกระบี่ ถอนหายใจเบาๆ
“ข้าไม่ลงนรกแล้วใครผู้ใดจะลงกันเล่า”
สวี่ชิงมองนายกองเงียบๆ นายกองไม่กระอักกระอ่วนใดๆ ทั้งสิ้น มองสวี่ชิงอย่างหน้าด้าน
หลังจากนั้น สวี่ชิงก็ถอนหายใจ พยักหน้าหงึกๆ
“นายกอง ครั้งหน้ากินส้มโอให้มากอีกสักหน่อยเถิด”
นายกองตื่นเต้นเป็นที่สุด ไม่สนใจเรื่องที่สวี่ชิงพูดถึงส้มโอ วิ่งมาข้างสวี่ชิง ยกมือขวาเอาผิวกั่วลูกใหญ่ออกมาสามลูก ยื่นให้สวี่ชิงด้วยสีหน้าระรื่น
“ศิษย์น้องเล็ก ไม่เสียทีที่ศิษย์พี่รักและเอ็นดูเจ้า อะแฮ่ม จะรอข่าวดีของเจ้านะ” นายกองพูดพลางจากไปอย่างเบิกบาน
มองเงาแผ่นหลังของศิษย์พี่ใหญ่จากไป ในดวงตาสวี่ชิงฉายแววครุ่นคิด แม้คำพูดของศิษย์พี่ใหญ่จะกลับไปกลับมา แต่สวี่ชิงก็ยังรู้สึกว่าคำพูดของอีกฝ่ายก่อนหน้านี้มีเหตุผลอยู่เหมือนกัน
“ใจสงบจึงจะเกิดความมุ่งมั่น” สวี่ชิงพึมพำ หลับตาทั้งสองข้างลง ใจสงบไม่วอกแวก ตั้งจิตนั่งสมาธิ
เพียงพริบตาก็ผ่านไปสี่วัน
ในสี่วันนี้สวี่ชิงกำจัดความคิดฟุ้งซ่านทุกอย่างทั้งหมดไป สงบระลอกคลื่นที่เกิดขึ้นในใจ ฟื้นฟูสภาวะจิตอย่างตอนแรกที่มณฑลรับเสด็จราชันในตอนนั้น ทั้งร่างกายและจิตใจจมดิ่งอยู่ในการปรับให้เข้ากับการประทับลงมาของกฎเกณฑ์ในโลกใบเล็ก
ในที่สุด กลางดึกวันที่สี่วันนี้ เขาก็ฝึกฝนทำความเคยชินได้ถึงสองพันอึดใจสำเร็จ
“ไปลองดูได้แล้ว”
หลังจากพักในเวลาสั้นๆ ในดวงตาสวี่ชิงฉายประกายวาววับ ไม่ได้เลิกเวรในทันที แต่อยู่ในชั้นที่เก้าสิบนี้ เข้าไปในโลกภาพวาดฝาผนังอีกครั้ง
เดินอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า สวี่ชิงเดินมาถึงนอกม่านแสงที่เหมือนเปลือกไข่อย่างชำนาญ พุ่งทะลุลงไปข้างหน้า มาปรากฏยังเหนือโลกใบเล็กแห่งนั้น ท่ามกลางเมฆหมอก
พลังกดดันมหาศาลกดอัดลงมา เหมือนหมู่ขุนเขาทับลงมา ความรู้สึกเหมือนพันธนาการพันรัดเกิดขึ้นมาทันที
สวี่ชิงทั้งร่างสะท้านเฮือก ร่างส่งเสียงกร๊อบๆ ออกมา แต่สีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น
ที่นี่เป็นสถานที่ที่เขาฝึกฝนในยามปกติ
และการประทับลงมาของกฎเกณฑ์ประเภทนี้ ความรู้สึกเหมือนหมู่ขุนเขากดอัด เขาคุ้นชินกับมันเป็นอย่างดี
ที่ผ่านมาเขาล้วนหยุุดอยู่ที่นี่ แต่วันนี้เขาไม่หยุดยั้งลังเลใดๆ ทั้งสิ้น ร่างก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง
แบกขุนเขาเดินไปข้างหน้า
ทุกก้าวที่เหยียบย่างลงมา ฟ้าดินล้วนมีเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังมา เหมือนหินภูเขาร่วงลงมา สนั่นหวั่นไหวกึกก้องไปทั่ว ฟ้าดินยิ่งเปลี่ยนสี ลมกรรโชกเมฆโหมทะลัก
ภาพนี้ดูเหมือนน่าตื่นตะลึง แต่แท้จริงแล้วเป็นเพราะสวี่ชิงไม่อาจทำได้อย่างสบายๆ เขาแบกรับกฎของโลกใบหนึ่งเอาไว้ ดังนั้นทุกก้าวที่ย่างก้าวออกไปล้วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในฟ้าดิน
ทุกที่ที่ผ่าน สายฟ้าฟาดผ่า เมฆหมอกรอบๆ ซัดโหม ดูแล้วน่าพรั่นพรึงนัก
จากการเดินไปของสวี่ชิง ต่างเผ่าที่ซ่อนตัวบนพื้นดินเหล่านั้น เมื่อมองเห็นสวี่ชิงก็ต่างหน้าเปลี่ยนสี
แม้รู้ว่าสวี่ชิงยังไม่ถึงขั้นที่ทำได้อย่างสบายๆ ขั้นนั้น แต่พวกเขาก็รู้ดี ยิ่งเป็นแบบนี้ก็หมายถึงว่ายิ่งอันตราย
เพราะไม่สามารถควบคุมกฎที่แบกรับเอาไว้ได้ เช่นนั้นก็จะแผ่ไปข้างนอกอย่างเลี่ยงไม่ได้…
ความจริงก็เป็นเช่นนั้น ร่างของสวี่ชิงเพิ่งจะมาถึงกลางอากาศ รอบๆ เขาก็เกิดสภาพอากาศเจ็ดแปดแบบ ประเดี๋ยวก็เกิดฝนกรด ประเดี๋ยวก็เกิดพายุสายฟ้า ประเดี๋ยวก็เกิดลมพายุ…
พื้นที่ใต้เท้าก็ได้รับอิทธิพลเช่นกัน ที่ราบเปลี่ยนกลายเป็นหมู่ขุนเขา หมู่ขุนเขาเปลี่ยนเป็นทะเลสาบ เปลี่ยนไปไม่หยุด ไม่อาจเสถียรได้ มีเพียงหลังจากเขาจากไปแล้วเท่านั้นถึงจะหยุดเปลี่ยนแปลงในท้ายที่สุด
และท่ามกลางเหตุการนี้ นักโทษที่อยู่ในนั้น…ซวยสุดๆ
ดังนั้น ในยามที่สวี่ชิงก้มหน้าลง สิ่งที่เห็นเป็นอันดับแรกคือนักโทษจำนวนมหาศาลพุ่งออกมาจากที่ซ่อนในแต่ละแห่งๆ บนพื้น แต่ละคนหนีแตกตื่นลนลานด้วยสีหน้าหวาดกลัว
แน่นอน ก็มีนักโทษที่ตายไปหลายครั้ง ใกล้จะสูญเสียความทรงจำไปโดยสมบูรณ์บางคน ในดวงตากลับแฝงด้วยประกาย พุ่งตรงมาหาสวี่ชิง คิดจะอาศัยการแผ่ออกมาข้างนอกจากกฎเกณฑ์ของเขาฆ่าตัวตาย
หลังจากฆ่าตัวตายแล้ว พวกเขาก็จะไม่คืนสภาพอีก นับว่าเป็นการหลุดพ้นอย่างหนึ่งเช่นกัน
สวี่ชิงขมวดคิ้ว มือขวายกขึ้นกดลงไปข้างล่าง ปากเอ่ยอย่างเรียบนิ่งออกมา


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา