บทที่ 513 พลังไม่เพียงพอจะทำการใหญ่ ทำอย่างไรดี
…………….
สวี่ชิงชะงักฝีเท้า ในใจระลอกคลื่นโหมซัดกระหน่ำ
ในเสียงกรีดร้องของนิ้วเทพเจ้า มาพร้อมกับความหวาดกลัวกับเรื่องที่คาดเดา อย่างไรก็ตามหลายครั้งที่มันอยู่ในห้วงนิทรา ไม่รู้เรื่องราวของโลกภายนอก ทำได้เพียงตรวจสอบโลกภายนอกอย่างผิวเผินในเวลานี้เท่านั้น
แต่สวี่ชิงเข้าใจดีว่าการเปิดของแดนต้องห้ามเซียน หนึ่งปีก่อนหน้าตอนที่ตนเพิ่งมาถึงเมืองหลวงเขตปกครอง ก็เคยได้ยินมาบ้างแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังไม่เข้าใจ
ก่อนหน้านี้เขาจึงรู้สึกสงสัยเรื่องการผลักดันให้เปิดแดนต้องห้ามเซียนในช่วงสงครามเช่นนี้อย่างมาก
แต่ตอนนี้ คำพูดของนิ้วเทพเจ้าทำให้สวี่ชิงเหมือนกระจ่างขึ้นมา ในหัวสมองมีรยางค์หลายสายเชื่อมต่อกัน และมีความรู้ความเข้าใจอย่างหนึ่งที่ค่อนข้างชัดเจน
ความรู้ความเข้าใจนี้ ทำให้เขาหายใจหอบถี่ รีบร้อนออกจากเมืองหลวงเขตปกครอง หลังกลับมาถึงหอกระบี่ก็นั่งลงขัดสมาธิ เริ่มจัดระเบียบความคิด
ส่วนนิ้วเทพเจ้าก็ยังพร่ำเพ้อ เห็นได้ชัดว่าถูกวิธีการเช่นนี้ของมนุษย์สั่นสะเทือนอยู่ลึกๆ
จากการที่สวี่ชิงจัดระเบียบสมองอย่างต่อเนื่อง หนึ่งก้านธูปต่อมา โครงร่างที่สมบูรณ์ร่างหนึ่ง ก็ปรากฏขึ้นในใจเขา
‘เส้นแรกคือจางซืออวิ้น…ตอนนั้นที่เสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะ ที่ความสูงสามพันจั้งของข้ากับนายกอง ในตราประทับผู้บำเพ็ญที่ตายแล้วซึ่งมาจากแผ่นดินเทวะนั่นก็สัมผัสได้ถึงพระจันทร์สีชาดชื่อหมู่ในระดับที่ต่างกัน
‘นายกองได้รับกลิ่นอายมา ส่วนข้า…คือพลังต้นกำเนิดเทพ!”
สวี่ชิงพึมพำ เรื่องเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เขาได้รับจากตราประทับในแต่ละครั้งในภายหลัง
‘จางซืออวิ้นก็เคยไปถึงสามพันจั้ง ดังนั้นเขาก็ย่อมสัมผัสได้ แต่วันนั้นจางซืออวิ้นกลับบาดเจ็บสาหัสที่สามพันจั้ง หลังจากถูกช่วยมาจากความตาย ข้าก็มีอาการใจสั่นอย่างรุนแรงในตอนกลางคืน
‘นับตั้งแต่ตอนนั้น ข้าก็ตระหนักได้ว่าพระจันทร์สีชาดกำลังตามหาข้า แต่ตอนนั้นข้าไม่แน่ใจว่าจางซืออวิ้นมีอะไรเปลี่ยนไป เมื่อมาเห็นตอนนี้ น่าจะเป็นตอนนั้นที่จางซืออวิ้นถูกพระจันทร์สีชาดสิงร่าง!’
ดวงตาสวี่ชิงฉายประกายหม่น นึกถึงเรื่องทั้งหมดในตอนนั้น คิดไปถึงตอนช่วงจักรพรรดิหยั่งใจ
‘ระหว่างที่จักรพรรดิหยั่งใจเป็นไปได้หรือไม่ว่าจะปิดบังตนเองได้ ถ้าจางซืออวิ้นตอนนั้นถูกพระจันทร์สีชาดสิงร่างจริง แล้วไยจักรพรรดิหยั่งใจจึงปกติทุกอย่าง แล้วยังมาถึงเมืองหลวงเขตปกครองด้วย’
หลังจากสวี่ชิงครุ่นคิด ผนวกกับสิ่งที่นิ้วเทพเจ้าพูด พระจันทร์สีชาดในร่างกายจางซืออวิ้นถูกเผ่ามนุษย์ช่วยเร่งให้ตื่นขึ้น จึงกระจ่างแจ้งในใจ
‘ตอนนั้น ก็น่าจะรู้แล้ว
‘เรื่องนี้ก็ยืนยันง่ายด้วย!’ สวี่ชิงชักกระบี่ประกาศิตออกมา คิดจะส่งสื่อเสียงไปสอบถามผู้อาวุโสใหญ่โถงครองกระบี่ของมณฑลรับเสด็จราชัน แต่หลังจากหยิบกระบี่ประกาศิตออกมาสีหน้าเขาก็หม่นหมอง
‘ข้าลืมไป หลังจากเจ้าวังจากไป ข้าก็ไม่มีอำนาจส่งสื่อเสียงข้ามมณฑลแล้ว’
สวี่ชิงถอนหายใจแผ่ว แต่ไม่เป็นไร แม้จะไม่มีอำนาจ แต่การส่งสื่อเสียงข้ามมณฑลเช่นนี้สามารถใช้แต้มกองทัพแลกได้ และแต้มกองทัพของสวี่ชิงก็มีอยู่มหาศาลด้วย จึงแลกคุณสมบัติติดต่อสื่อสารครั้งหนึ่งมาอย่างรวดเร็ว สอบถามเรื่องจางซืออวิ้นกับผู้อาวุโสใหญ่โถงครองกระบี่มณฑลรับเสด็จราชัน
หากคนอื่นถาม ผู้อาวุโสใหญ่โถงครองกระบี่คงไม่สนใจ ต่อให้ข่งเสียงหลงอยากรู้ก็เช่นเดียวกัน
แต่สวี่ชิงในใจของผู้อาวุโสใหญ่โถงครองกระบี่มณฑลรับเสด็จราชันนั้นแตกต่างออกไป
ดังนั้นไม่นาน สวี่ชิงก็ได้รู้เรื่องทั้งหมด
‘เรื่องจักรพรรดิหยั่งใจในวันนั้น ข้าก็รู้เรื่องเทพเจ้าสิงร่างอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเทพเจ้าองค์ใด และเนื่องจากเป็นเรื่องใหญ่มาก จึงรายงานเจ้าวังทันที
‘ต่อมาก็เคยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เจ้าวังเคยบอกกับข้าครั้งหนึ่งว่าขอแค่จางซืออวี้ยังเป็นผู้ครองกระบี่ เขาจะไม่ยอมให้มีใครเอาเขาเป็นเหยื่อแน่!
‘นอกจากนี้ รูปปั้นจักรพรรดิก็อยู่ในเมืองหลวงเขตปกครอง ดังนั้นเรื่องของจางซืออวิ้น เมืองหลวงจักรพรรดิจึงรู้เช่นกัน’
เสียงจัดเจนทางโลกของผู้อาวุโสใหญ่โถงครองกระบี่มณฑลรับเสด็จราชันดังก้องอยู่ในใจสวี่ชิง หลังจากพูดเหล่านี้จบ น้ำเสียงเขาก็ค่อนข้างจริงจัง ยิ่งแฝงความเป็นห่วงไว้
“สวี่ชิง เขตปกครองผนึกสมุทรแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้แล้ว ข้าได้ยินเรื่องกำลังจะเปิดแดนต้องห้ามเซียน ตอนนั้นคนมากมายล้วนไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เจ้าเขตปกครองปลัดเขตปกครองก็เคยคันค้าน แต่โองการมาจากเมืองหลวงจักรพรรดิ ไม่อาจทัดทานได้ ทำได้เพียงถ่วงให้ล่าช้า อันที่จริงก็ถ่วงไว้ได้ไม่นานนัก จากนั้นเมื่อเกิดสงครามจะไม่มีใครพูดถึงอีก ข้าไม่รู้ว่าเจ้าถามเรื่องนี้ด้วยเหตุอันใด แต่เจ้า…ต้องระวังให้มาก”
สวี่ชิงสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงของผู้อาวุโสใหญ่โถงครองกระบี่ ดังนั้นหลังจากขานรับ ก็สอบถามเรื่องที่เทพวิญญาณโยวจิงหนีไป ผลกระทบที่โถงครองกระบี่มณฑลรับเสด็จราชันได้รับจากเรื่องนี้
“เรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบของข้าเอง ข้าไม่ได้ดูแลให้ดี ทำให้โยวจิงหลบหนีไป สองจิตเจ็ดวิญญาณก็ไร้ร่องรอย มณฑลรับเสด็จราชันแฝงไว้ด้วยอันตรายใหญ่หลวง ดังนั้นองค์ชายจึงไม่กล้ามา…”
ผู้อาวุโสโถงครองกระบี่กระแอมไอ ถอนหายใจอย่างโทษตัวเอง
สวี่ชิงได้ยินก็รู้สึกแปลกๆ หลังจากคิดอย่างละเอียด เขาก็รู้สึกว่ามีเป็นไปได้ที่ผู้อาวุโสใหญ่ปล่อยโยวจิงไปเอง และอาจจะไม่ได้หายไปที่ใดด้วย
คิดถึงตรงนี้ สวี่ชิงก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย หลังจากพูดคุยเสร็จ ดวงตาเขาก็เผยประกายออกมา
‘การเปิดแดนต้องห้ามเซียนถือเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นหนึ่งปีก่อนหน้านี้เจ้าเขตปกครองกับปลัดเขตปกครองรวมถึงเจ้าวังจึงไม่เห็นด้วย แต่ตอนนี้เจ้าเขตปกครองดับสูญ เจ้าวังสู้จนตัวตาย คนอื่นๆ ก็สละชีพกันหมด เหลือแต่ปลัดเขตปกครองที่ยังอยู่
‘จางซืออวิ้นทางนั้นจึงไม่มีการคุ้มครองจากเจ้าวัง จึงมีคนจะส่งเขาเข้าไปในแดนต้องห้ามเซียน ปลุกพระจันทร์สีชาดในร่างกาย ทำให้เขากลายเป็นร่างแยกของพระจันทร์สีชาดเพื่อไปกลืนกินเทพเจ้าในแดนต้องห้ามเซียนอย่างนั้นหรือ
‘แล้วทำไมต้องทำเช่นนี้ สำหรับเมืองหลวงจักรพรรดิแล้ว การทำเช่นนี้มีประโยชน์อะไร’ สวี่ชิงยังขาดเบาะแสที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์คำตอบไม่ออก
ส่วนนิ้วเทพเจ้าทางนั้น หลังจากที่พึมพำงึมงำ ก็เก็บงำกลิ่นอายทั้งหมด ซ่อนตัวอย่างมิดชิด คลื่นการหลับใหลสลายหายไป ราวกับไปอยู่ในสภาวะดับสูญไปแล้ว
ต่อให้สวี่ชิงจะอัญเชิญอย่างไร แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแม้แต่น้อย
‘แต่ไม่ว่าอย่างไร ตอนที่พระจันทร์สีชาดตื่นลืม ข้าต้องประสบเคราะห์ใหญ่แน่!’ สวี่ชิงสีหน้าย่ำแย่ ความคิดแรกในใจคือออกจากเมืองหลวงเขตปกครอง หลีกเลี่ยงการเข้าไปในแดนต้องห้ามเซียน
แต่หลังจากความคิดนี้ปรากฏขึ้น ก็ยังมีอีกหนึ่งความคิดปรากฏตามขึ้นมาในสมองด้วย
‘พายุคลื่นยักษ์พัดโหม ต้องมีปลาตัวใหญ่แน่!
‘ในแดนต้องห้ามเซียนมีสมบัติล้ำค่านับไม่ถ้วน ยิ่งแฝงวาสนาไร้สิ้นสุดอีกด้วย ความอันตรายของมันก็คือมีเทพเจ้าหลับใหลอยู่ด้านใน แต่หากพระจันทร์สีชาดกลืนกินมัน แดนต้องห้ามเซียนก็จะถือว่าเปิดออกอย่างแท้จริง
‘พระจันทร์สีชาดเป็นเทพเจ้าของเผ่าฟ้าทมิฬ องค์ชายกล้ามาที่นี่เพื่อปลุกมัน ต้องมีแผนการรับมือเพื่อปกป้องความปลอดภัยของตนแน่ อีกทั้งตอนนี้เขามีผู้ใต้บังคับบัญชาในเขตปกครองผนึกสมุทรอยู่มากมาย หากเขาไม่บ้าคลั่งถึงที่สุด ก็คงไม่เอาทั้งเขตปกครองผนึกสมุทรเซ่นไหว้พระจันทร์สีชาด…
‘เช่นนั้น หากข้ามีวิธีหลบหลีกการตรวจสอบพระจันทร์สีชาด การเข้าไปในแดนต้องห้ามเซียนก็ถือเป็นวาสนาครั้งใหญ่’ หลังจากสวี่ชิงครุ่นคิด ก็ส่งสื่อเสียงไปหานายกองตามสัญชาตญาณ
ถึงอย่างไรเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้า สวี่ชิงรู้สึกว่านายกองน่าจะเชี่ยวชาญกว่า

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา