บทที่ 541 วิสัยทัศน์กว้างไกล จิตใจเอื้ออารี (2)
บนผืนแผ่นดิน จื่อเสวียนมองไปยังกลุ่มคนของสวี่ชิงที่เดินไปไกล นางรู้ว่าพวกเขาที่เพิ่งกลับมามีเรื่องมากมายที่ต้องสะสาง ตนไปหาตอนนี้คงจะไม่เหมาะนัก
ขณะที่มีความสุขอยู่นี้ นางก็จะกลับสำนักโลกันต์ทมิฬ แต่สายตาก็กวาดมองที่ประธานพันธมิตรข้างๆ เมื่อเห็นว่าสายตาซับซ้อนของอีกฝ่าย จึงหัวเราะขึ้นมาเบาๆ กลายเป็นสายรุ้งยาวจากไป
แม้จะไม่พูดอะไรออกมา แต่เสียงหัวเราะนี้ ก็แสดงความนัยออกมาทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัย
ประธานพันธมิตรแปดสำนักเงียบนิ่ง เสียงหัวเราะดังก้องในใจเขา แสบหูอย่างยิ่ง ทำให้ความซับซ้อนที่เขาสะกดลงไปปะทุขึ้นอีกครั้ง
ครู่ต่อมา ประธานพันธมิตรแปดสำนักหลับตาลง ขณะที่ลืมขึ้นอีกครั้งก็ยังคงดูอ่อนโยน
เขาต้องรักษาภาพลักษณ์นี้เอาไว้
ถึงอย่างไรตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ เขาก็ไม่ได้แสดงเจตนาร้ายกับชิงรวมถึงเจ็ดเนตรโลหิตออกมาในที่แจ้งเลย
ดังนั้น การรักษาความอ่อนโยนไว้จึงเป็นลักษณะพื้นฐานของเขา
นี่ก็เป็นรูปแบบการแสดงอย่างหนึ่งของมนุษญ์
อันที่จริงโลกใบนี้ความชั่วร้ายมากมายล้วนอยู่ในจิตใจ ส่วนจะปิดซ่อนได้นานเท่าไร ต้องดูว่าโลกภายนอกลิขิตสถานการณ์ให้ปลดปล่อยออกมาหรือไม่
บางคนที่ซ่อนไว้ได้หลายปี บางคนที่อาจซ่อนไว้ได้ทั้งชีวิต กระทั่งเก็บซ่อนไว้ไปจนตาย
ไม่รู้ว่าประธานพันธมิตรแปดสำนักจะเก็บซ่อนได้นานเท่าไร
และในเจ็ดเนตรโลหิตเวลานี้ สวี่ชิงกำลังรินชาให้บรรพจารย์เสี่ยเลี่ยนจื่อ
อาการบาดเจ็บของเสี่ยเลี่ยนจื่อยังไม่ฟื้นฟูสมบูรณ์ ระลอกคลื่นอารมณ์วันนี้ทำให้หน้าเขาแดงก่ำไปหมด แม้จะส่งเสียงไอออกมาบ้างบางครั้ง แต่วันที่กระปรี้กระเปร่าถึงเพียงนี้ไม่ได้เจอมานานมากแล้ว
“ดีๆๆ!”
เมื่อเห็นสวี่ชิงรินชาให้ เสี่ยเลี่ยนจื่อก็รับมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ดื่มจนเกลี้ยงในรวดเดียว ไม่เหลือสักหยด ดวงตาฉายแววพึงพอใจและชื่นชม เอ่ยเสียงดัง
“เจ้าเจ็ด เจ้ารับศิษย์คนนี้มาได้ดีจริงๆ หากไม่มีศิษย์คนนี้ เจ้าก็ไม่มีทางได้เป็นปลัดเขตปกครองหรอก ครั้งนี้นับว่าเจ้ายืมแสงของศิษย์เจ้ามา”
นายท่านเจ็ดที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินก็ภาคภูมิใจ
“ดังนั้น ข้าแนะนำให้เจ้าไล่พวกศิษย์คนอื่นออกให้หมด เหลือไว้แค่เจ้าสี่กับเจ้าสองก็พอแล้ว
“เจ้าใหญ่กับเจ้าสาม สองคนนี้ไม่ได้เรื่อง เห็นแล้วขัดหูขัดตา”
สวี่ชิงก้มหน้าไม่พูดจา เขาได้ยินคำพูดพวกนี้จากปากเสี่ยเลี่ยนจื่อมาหลายครั้งแล้ว
“ที่บรรพจารย์พูดมาก็มีเหตุผล เรื่องนี้ไว้ข้าจะกลับไปขบคิด” นายท่านเจ็ดพยักหน้า เอ่ยด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเอ่ยต่อว่า
“บรรพจารย์ เรื่องที่ข้าพูดกับท่านก่อนหน้านี้เล่าขอรับ”
“ข้าไม่ไปหรอก แต่ข้าสนับสนุนให้เจ้าย้ายเจ็ดเนตรโลหิตไปที่เมืองหลวงเขตปกครองนะ” เสี่ยเลี่ยนจื่อวางจอกชา มองนายท่านเจ็ด สีหน้าฉายแววทอดถอนใจ
“เจ็ดเนตรโลหิตพัฒนามาจนถึงวันนี้ได้ไม่ง่ายเลย แต่หลายปีมานี้ข้าเคยเห็นการขึ้นไปจุดสูงสุด เคยเห็นยอดเขาถล่มลงมา พวกเราต้องเตรียมพร้อมสิ่งต่างๆ มากมายเอาไว้ เผื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝัน
“ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ เป็นรากฐานแรกของเรา มีเจ้าสองของเจ้าอยู่ ข้าก็วางใจ
“แต่มณฑลรับเสด็จราชัน จะไร้คนนั่งปกครองไม่ได้ นี่คือรากฐานที่สองของเจ็ดเนตรโลหิตเรา และเป็นการคุ้มครองหนึ่งชั้นด้วย
“เมืองหลวงเขตปกครอง คือรากฐานที่สามที่พวกเจ้าศิษย์อาจารย์ไปบุกเบิกมา
“เมื่อเป็นเช่นนี้ หากเกิดปัญหาขึ้นในอนาคต มณฑลรับเสด็จราชาที่นี่ก็จะเป็นทางหนีทีไล่ของพวกเจ้า ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณยิ่งเป็นทางหนีทีไล่ของพวกเจ้าด้วย
“มีเพียงเช่นนี้ ถึงจะสามารถปกป้องกิจการพื้นฐานเจ็ดเนตรโลหิตของข้าไว้ให้คงอยู่ชั่วนิรันดร์ได้”
สายตาเสี่ยเลี่ยนจื่อล้ำลึก อายุกับประสบการณ์ของเขาทำให้มองเรื่องความมั่นคงเป็นปัจจัยแรก
ขณะที่นายท่านเจ็ดทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้เช่นกัน
เห็นว่าทั้งสองคนจะพูดคุยกันต่อ สวี่ชิงจึงลุกขึ้นขอตัว หลังเดินออกจากตำหนักใหญ่ เขาเดินอยู่ในสำนักที่คุ้นเคย ระหว่างทางก็พบกับศิษย์ร่วมสำนักในอดีตบางคน
เห็นสิ่งเหล่านี้ สวี่ชิงก็หันหน้าไปมองด้านหลัง
ด้านหลังเขาห่างออกไปร้อยจั้ง เจ้าใบ้น้อยกำลังยืนอยู่ตรงนั้น มองสวี่ชิงอย่างไม่วางตา และเหมือนกับเมื่อก่อน ทุกครั้งที่สวี่ชิงกลับมา เขาก็จะปรากฏตัวคุ้มกันให้เงียบๆ
สวี่ชิงพยักหน้าให้ หันหลังเดินต่อไปยังสุสานของนายท่านหก ไม่นานนักก็มาถึง มองป้ายสุสาน ใบหน้าของนายท่านหกก็ผุดขึ้นมาในสมองสวี่ชิง
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ล้วงกาสุรากาหนึ่งออกมา เทลงไปบนหลุมศพ
“นายท่านหก นกเขาราตรีตายแล้วนะขอรับ”
สวี่ชิงเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“น่าเสียดายที่หัวของมันเละเป็นเศษเนื้อ นำกลับมาไม่ได้
“แต่ก็ไม่เป็นไร ในอนาคตข้าจะรักษาหัวของจื่อชิงให้ดี จะเก็บกลับมาในสภาพสมบูรณ์ที่สุด”
สวี่ชิงพึมพำ ยืนอยู่หน้าหลุมศพนายท่านหกเนิ่นนาน งูขาวตัวน้อยก็เลื้อยออกมาจากในแขนเสื้อไปบนคอของสวี่ชิง ถูไถกับแก้มสวี่ชิงเบาๆ เหมือนกำลังปลอบประโลม
จนกระทั่งดวงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า สวี่ชิงจึงลุกขึ้นคารวะก็จากไป
เดินอยู่บนบันไดสำนัก เขาก็ได้พบกับคนคุ้นเคยคนหนึ่ง
เป็นหญิงสาววัยแรกแย้มคนหนึ่ง สวมชุดนักพรตสีส้มเหลือง หน้าตาสะสวย ร่างแผ่กลิ่นหอมยาลูกกลอนออกมา เพียงแต่สีหน้าเศร้าสร้อย เหมือนมีอารมณ์มากมายทับถมอยู่ในใจ ไม่อาจสลายออกไปได้
หลังจากเห็นสวี่ชิง นางก็รู้สึกไม่สบายอย่างชัดเจน
“ศ…ศิษย์พี่สวี่ชิง”
“ศิษย์น้องกู้ ไม่พบกันนานเลย” สวี่ชิงสีหน้าปกติ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
หญิงสาวคนนี้ คือกู้มู่ชิง

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา