บทที่ 547 กระพือลมโหมเปลวไฟ ยืมดาบฆ่าคน (1)
เขตปกครองผนึกสมุทรในช่วงสงครามแรกๆ พื้นที่สามมณฑลที่ถูกเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ชิงไป หลังจากสงครามจบสิ้น องค์ชายเจ็ดรับช่วงดูแล
แต่จวบจนตอนนี้ก็ยังไม่ได้ส่งทั้งสามมณฑลกลับสู่เขตปกครองผนึกสมุทร
เรื่องนี้ก็สมเหตุสมผล สามมณฑลนั้นอย่างไรเสียก็เป็นองค์ชายเจ็ดที่นำกลับคืนมา เขตปกครองผนึกสมุทรก็เตรียมค่าตอบแทนเอาไว้พร้อมแล้ว
เพียงแต่ทางองค์ชายเจ็ดทางนั้น ก่อนหน้านี้ไม่ได้มีทีท่าว่าจะหารือ ในพื้นที่สามมณฑลทางนั้นก็ยังมีกองทัพตั้งค่ายอยู่จำนวนไม่น้อย
เพราะนี่เป็นเรื่องภายในเผ่ามนุษย์ ดังนั้นเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์จะไม่ก้าวก่าย แต่สามมณฑลนี้ผลิตหินวิญญาณมหาศาล ทั้งยังมีเขตเหมืองที่เป็นวัสดุหลอมอาวุธล้ำค่าจำนวนมาก สำหรับการฟื้นฟูในอนาคตของเขตปกครองผนึกสมุทรแล้วมีค่าไม่น้อยเลย
ดังนั้นจะให้หลุดมือไปไม่ได้
จนกระทั่งครั้งนี้ องค์ชายเจ็ดนอกจากจะเชิญชวนสวี่ชิงแล้ว ยังพูดถึงเรื่องการหารือคืนดินแดนอีกด้วย
“โหวเหยาอยากให้เจ้าไปสักหน่อย แต่ข้าไม่ได้รับปากไปในทันที เจ้าสี่ เรื่องนี้เจ้าตัดสินใจเอง
“แต่ว่า ด้านความปลอดภัยไม่มีปัญหา หากเจ้าเกิดเรื่องขึ้นในการเดินทางครั้งนี้ องค์ชายเจ็ดยากที่จะหนีความรับผิดชอบ จากนิสัยของเขา ไม่มีทางโง่ขนาดนั้น”
นายท่านเจ็ดชี้ส่วนได้ส่วนเสียให้สวี่ชิง
สวี่ชิงครุ่นคิด เขานึกถึงการจัดการบางอย่างของโหวเหยาก่อนหน้านี้ รวมถึงพื้นที่เขตปกครองที่เขตปกครองผนึกสมุทรกำลังรับช่วงต่ออย่างลับๆ ด้วย
ที่นั่นไม่ได้มีพื้นที่ติดกับเขตปกครองผนึกสมุทร สำหรับเขตปกครองผนึกสมุทรแล้วเป็นเหมือนโครงไก่ แต่สำหรับองค์ชายเจ็ดแล้ว ความหมายแตกต่างออกไป
‘ตอนนี้ดูไป โหวเหยาน่าจะคาดเดาเรื่องนี้เอาไว้แล้ว วางแผนเอาไว้ล่วงหน้า เหนือชั้นจริงๆ’
สวี่ชิงคิดๆ ศิษย์พี่ใหญ่ตอนนี้ยังไม่กลับมา ดังนั้นเขาทางนี้ยังมีเวลาอยู่บ้าง
ความคาดหวังของโหวเหยา คำถามของอาจารย์ ตลอดจนหลังจากที่ออกเดินทางคนที่เขาได้เห็นทุกคนล้วนทุ่มเทเพื่อความสงบมั่นคงของเขตปกครองผนึกสมุทร ในเมื่อเขาได้รับการเพิ่มพลังจากดวงชะตากว่าครึ่งของเขตปกครองผนึกสมุทร ดังนั้นก็ย่อมต้องแบกรับความรับผิดชอบในระดับที่เทียบเท่า
นอกจากนี้ สวี่ชิงรู้ดีว่าวันที่ศิษย์พี่ใหญ่กลับมา ก็จะเป็นเวลาที่ตนจะต้องเดินทาง
ตำแหน่งของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรานั่น สวี่ชิงก็เคยสืบค้นมาก่อน มันห่างไกลจากเขตปกครองผนึกสมุทรลิบลับ อยู่อีกฝั่งหนึ่งของแผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ มีแม่น้ำสายยาวเส้นหนึ่งชื่อว่าเซ่นทมิฬกั้นอยู่
ที่นั่น ในยุคจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวย่อมเป็นดินแดนของเผ่ามนุษย์ แต่ภายหลังสูญเสียไป ตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นของเผ่าฟ้าทมิฬเช่นกัน
แต่ในเผ่าฟ้าทมิฬมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่ง
แหล่งเพาะเลี้ยงวิญญาณวิญญาณ
อักษรแหล่งเพาะเลี้ยงนี้มีหลายความหมาย จะเอาไว้บรรยายถึงสวน ป่า ที่เอาไว้เพาะเลี้ยงปศุสัตว์ก็ได้ และเอามาบรรยายถึงที่ที่รวบรวมไว้ซึ่งสารสกัดแก่นแท้ก็ได้
ส่วนรายละเอียด ในเอกสารที่สวี่ชิงค้นหาไม่ได้มีคำบรรยายอะไรที่มากไปกว่านั้น นี่อาจเป็นเหตุผลที่นายกองต้องออกไปข้างนอกรวบรวมข้อมูลให้มากขึ้น
ดังนั้น สวี่ชิงจึงคิดจะทำอะไรให้เขตปกครองผนึกสมุทรก่อนที่จะเดินทาง จึงไม่ได้ปฏิเสธ
เช่นนี้เอง หลังจากนั้นสามสี่วัน กองทัพกองหนึ่งก็เดินทางออกจากเขตปกครองผนึกสมุทร
การออกเดินทางครั้งนี้เป็นหลี่อวิ๋นซานเจ้าวังครองกระบี่นำทัพ ยิ่งมีรองเจ้าวังพิธีการและรองเจ้าวังอาญาที่ได้รับตำแหน่งใหม่เดินทางร่วมด้วย
และยังมีผู้ดูแลทั้งสามวังจำนวนหกคนติดตามไปด้วย
ส่วนกองทัพก็มีวังครองกระบี่เป็นหลัก โดยเลือกมาจากในบรรดาผู้ครองกระบี่ที่ผ่านประสบการณ์สงครามอย่างโชกโชนเหล่านั้นมาสองหมื่นคน เกรียงไกรทรงพลัง เดินทางออกไปจากเขตปกครองผนึกสมุทร
ข่งเสียงหลงก็อยู่ในนี้ด้วย
หลังจากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงปลัดเขตปกครอง ข่งเสียงหลงดื่มเหล้าน้อยลงแล้ว ความทุ่มเททั้งหมดของเขานอกจากอยู่ที่การฝึกบำเพ็ญของตัวเองแล้ว ส่วนมาล้วนทุ่มไว้ที่กรมอาลักษณ์ กุมอำนาจไว้มหาศาล
ยิ่งได้รับการให้ความสำคัญจากหลี่อวิ๋นซาน อบรมสั่งสอนให้เขาเป็นผู้สืบทอดวังครองกระบี่เขตปกครองผนึกสมุทรในอนาคต
กองทัพเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วเลื่อนลั่น เรือศึกบรรพกาลลำมหึมาพันกว่าลำเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว ฉายเงามหึมาลงมา ปกคลุมไปบนขุนเขาและสายน้ำ
ข้างหน้าสุดเป็นกระบี่สัมฤทธิ์โบราณเล่มมหึมาเล่มหนึ่ง หลี่อวิ๋นซานและผู้แข็งแกร่งระดับหวนสู่อนัตตาเขตปกครองผนึกสมุทรล้วนอยู่บนนั้น
ข้างหลังกระบี่โบราณคือเรือศึกบรรพกาลของนายท่านเจ็ด ตัวเรือสีดำของมันทำให้คนรู้สึกถึงความโหดเหี้ยม พัดลมพายุคลั่งปกคลุมไปทั่วสารทิศ
สวี่ชิงยืนอยู่ในหอคอยเรือศึกบรรพกาล มองไปยังฟ้าดินที่ไกล
เทือกเขาบนพื้นดินเรียงสลับทับซ้อน หลังจากที่กองทัพส่งข้ามอยู่หลายครั้ง ตอนนี้สถานที่ปรากฏคือแนวหน้าเขตตะวันตกในตอนนั้น
มาถึงที่นี่ เรือศึกบรรพกาลทั้งหมดก็หยุดอยู่กลางท้องฟ้า
สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปบนพื้น มองไปยังแผ่นดินที่ยังฟื้นฟูไม่สมบูรณ์และรอยแยกหลายทางที่เจ้าวังครองกระบี่ฟันลงไปในตอนนั้น และยังเป็น…สถานที่ที่เจ้าวังรบตาย
ทุกคนต่างก้มหน้า ยืนสงบนิ่งให้กับเขา
สวี่ชิงจ้องเพ่ง โค้งคารวะสุดตัว
ข่งเสียงหลงอยู่ข้างกายสวี่ชิง ใบหน้าไร้อารมณ์ เพียงแค่หลับตาเท่านั้น
นานหลังจากนั้น เรือศึกบรรพกาลบนท้องฟ้าก็เคลื่อนหน้าต่อไป ไปจากสนามรบที่เศร้าเสียใจแห่งนี้ พุ่งตรงไปทางเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์
ข่งเสียงหลงลืมตาทั้งสองขึ้น ไม่ได้มองไปข้างหลัง แต่มองไปทางเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ เอ่ยสงบนิ่ง
“สวี่ชิง ความจริงแล้วข้าอยากไปดูมากกว่าว่าบุคคลเก่งกาจยอดเยี่ยมเผ่ามนุษย์รุ่นนี้ที่มาจากเมืองหลวงจักรพรรดิเหล่านั้นเป็นอย่างไรกันแน่”
หลังจากที่ข่งเสียงหลงรับผิดชอบดูแลจัดการกรมอาลักษณ์ทั้งมณฑล เสื้อผ้าก็เปลี่ยนไป ตอนนี้สวมชุดเกราะสีดำทั้งชุด ทั้งคนแผ่รังสีอำมหิต
สายตาของเขาเย็นชา สีหน้าไม่โมโหแต่รัศมีอำนาจฉายชัด
เขาที่เป็นแบบนี้มีเงาของเจ้าวังคนก่อนเลาๆ แล้ว
พลังบำเพ็ญของเขาก็ยกระดับขึ้นแล้วเช่นกัน เมื่อสองปีก่อนเขาเป็นระดับวังสวรรค์สิบวัง หลังจากผ่านเรื่องราวต่างๆ ในฐานะที่เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเขตปกครองผนึกสมุทรในตอนนั้น เขาไม่เพียงแต่จำนวนวังสวรรค์เพิ่มขึ้น แต่ยังทยอยทำให้เป็นปราณอีกด้วย
การเลือกของข่งเสียงหลงเหมือนกับสวี่ชิงเมื่อก่อนหน้านี้ จะรอให้ปราณเกิดขึ้นทั้งหมดก่อน แล้วค่อยไปผจญเคราะห์ชะตา ได้รับอายุขัยสวรรค์มากขึ้นจากการนี้
จากกลิ่นอายและระลอกคลื่นของเขาก็มองออกว่า อย่างมากอีกไม่กี่เดือนก็จะไปผจญเคราะห์ได้
“น่าจะล้วนไม่ธรรมดา” สวี่ชิงเอ่ยเสียงเบา
เวลาเพียงพริบตาก็ผ่านไปหลายวันเช่นนี้เอง


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา