บทที่ 558 ห่านป่าบินลาลับสุดสายตา สุดฟ้าใต้หล้าหนทางช่างห่างไกล (1)
พริบตาที่เห็นลูกตา สายตาของสวี่ชิงก็จ้องเพ่ง หลิงเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ เขากะพริบตาปริบๆ ไม่พูดอะไร เขยิบเข้ามาใกล้สวี่ชิงสามสี่ก้าว
ลูกตาที่อยู่กลางฝ่ามือตวนมู่ฉางมองไปทางหลิงเอ๋อร์ทันที แต่ไม่นานก็กลับไปจ้องสวี่ชิงอีกครั้ง
เส้นเลือดสีน้ำตาลในลูกตาส่งกลิ่นอายเปื่อยเน่ามาเป็นระลอกๆ ยิ่งมีกลิ่นคาวแผ่ซ่าน ในขณะที่ปกคลุมไปทั่วทั้งห้องนี้ รอบๆ ก็มีเสียงกรีดร้องโหยหวนแว่วๆ ดังวนเวียน
“นี่คืออะไรหรือขอรับ” สวี่ชิงมองไปทางตวนมู่ฉาง
“ดวงตานี้เป็นวัตถุแปลกประหลาดที่ข้าได้มาตอนที่หาที่นี่เจอ ความสามารถด้านต้านทานไฟน่าตื่นตะลึงนัก แต่ว่าต้องสยบมันให้ได้ สำหรับเจ้าแล้วน่าจะไม่ยาก อีกทั้งมันขี้ขลาดนัก เจ้าขู่มันไม่กี่ทีก็ไม่กล้าสร้างเรื่องวุ่นวายแล้ว
“ข้าเคยอาศัยพลังของมันดำลงไปในหินหนืดทำการสำรวจครั้งหนึ่ง
“ใต้ทะเลเพลิงสวรรค์เต็มไปด้วยความลึกลับ ดังนั้นหากเจ้าอยู่ในนั้น ทางที่ดีอย่าลงไปถึงพันจั้ง”
“พันจั้งลงไปมีเขตแดนต้องห้ามของตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด ไม่ว่าใครก็ยากจะบุกรุกเข้าไปได้แม้เพียงเล็กน้อย กระทั่งว่าข้าเคยเห็นสัตว์อสูรในทะเลเพลิงสวรรค์อยู่ที่ริมขอบพันจั้งก็ถูกเขตแดนต้องห้ามระเบิดแหลก”
ตวนมู่ฉางสีหน้าเคร่งขรึม พูดจบก็โยนดวงตาในมือไปให้สวี่ชิง
เมื่อสวี่ชิงรับมาแล้ว ดวงตาดวงนี้ก็ยังต้องเขาเขม็งเช่นเดิม แผ่ความชั่วร้ายแปลกประหลาดมา ยิ่งมีจิตปฏิปักษ์
สวี่ชิงสีหน้าเป็นปกติ ขณะที่ถือมันเล่นไว้ในมือ ก็เอ่ยเสียงเบา
“ผู้อาวุโส ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา จุดวางเขตแดนต้องห้ามอย่างทะเลเพลิงสวรรค์เช่นนี้มีเยอะหรือไม่ขอรับ”
ตวนมู่ฉางหยิบกาสุราที่สวี่ชิงให้ออกมา นั่งอยู่ข้างๆ ดื่มไปอึกหนึ่ง สีหน้าแฝงด้วยความซับซ้อน พยักหน้า
“ไม่น้อยเลย
“สำหรับแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราแล้ว ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดอยู่สูงส่งสูงสุด เจตจำนงของพวกเขาตัดสินความเป็นตายของสรรพชีวิตทั้งหลาย เผ่าพันธุ์ใดหากไม่เคารพแม้เพียงเล็กน้อย จุดจบจะน่าอเนจอนาถนัก”
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด นั่งอยู่ตรงข้ามกับตวนมู่ฉาง ถามต่อไป
“ผู้อาวุโส ผู้เยาว์อยากทราบเรื่องเกี่ยวกับตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดมากขึ้น ไม่ทราบว่าท่านสะดวกจะเล่าให้ข้าฟังสักหน่อยหรือไม่”
ตวนมู่ฉางเงยหน้า สายตากวาดประเมินสวี่ชิงสามสี่ที
“เจ้าหนู ที่แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดเหมือนกับเทพเจ้า เป็นสิ่งที่ไม่อาจล่วงเกินได้แม้แต่น้อย
“ดังนั้น เจ้าอย่าได้ไปหาเรื่องพวกมัน ไม่เช่นนั้น พวกมันไม่ใช่แค่สังหารเจ้าได้ง่ายเพียงพลิกฝ่ามือ ยิ่งมีวิธีจับเจ้ามาสังเวย ทำให้เจ้าได้รับคำสาป ออกไปจากที่นี่ไม่ได้อีก”
ตวนมู่ฉางภายนอกเย็นชาแต่จิตใจดี โดยเฉพาะจากการสัมผัสติดต่อกันช่วงนี้ ด้วยประสบการณ์ชีวิตของเขาก็มองออกหลายอย่าง ภาพลักษณ์ของสวี่ชิงก็เปลี่ยนไปอยู่เรื่อยๆ
ดังนั้น แม้สีหน้าของเขาจะเข้มงวด แต่น้ำเสียงกลับแฝงด้วยการเตือน
สวี่ชิงพยักหน้า เขารู้จักประมาณ และเข้าใจดีว่าแม้ตัวเองจะมีพระจันทร์สีม่วง แต่ก็ไม่ดูถูกเครือญาติที่เกี่ยวพันกับพระจันทร์สีชาดคนใดทั้งนั้น ทว่าเขาก็รู้ดี ในเมื่อมาที่นี่ บางครั้งต่อให้ตัวเองคิดอยากจะหลบเลี่ยง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะราบรื่น
และเข้าใจในตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดเพิ่มมากขึ้นอีกนิด ก็จะทำให้ความเป็นไปได้ในการหลบเลี่ยงของเขาเพิ่มมากขึ้น จึงถามรายละเอียดบางอย่างอีก
ตวนมู่ฉางได้ยิน หลังจากคิดๆ ก็เอ่ยอย่างช้าเนิบ
“ให้เจ้ารู้มากเพิ่มอีกสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน เจ้าจะได้เข้าใจถึงความน่ากลัวของตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดที่อยู่ที่นี่เพิ่มมากขึ้น
“ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดทำการเพาะเลี้ยงแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราแทนชื่อหมู่ ทุกช่วงหนึ่ง แต่ละเผ่าจะต้องส่งเครื่องสังเวยขึ้นไปให้
“และสำหรับตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดแล้ว พวกมันไม่สนใจความตายของเผ่าพันธุ์ เพราะทุกครั้งที่ชื่อหมู่มาถึง สิ่งมีชีวิตกว่าครึ่งทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราจะถูกกลืนกิน
“ดังนั้น ภารกิจของตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดคือก่อนที่ชื่อหมู่จะมา คอยสะสมอาหารเอาไว้อยู่ตลอด เก็บรวบรวมไว้ และเมื่อชื่อหมู่จากไป ก็ทำการเลี้ยงเผ่าพันธุ์ต่างๆ เอาไว้อีกครั้ง ทำให้พวกมันเป็นเหมือนแหล่งเพาะเลี้ยงสัตว์ แพร่พันธุ์เติบโตเป็นรุ่นๆ ไปเรื่อยๆ”
ตวนมู่ฉางน้ำเสียงสงบนิ่ง เหมือนพูดเรื่องของคนอื่น ไม่ใช่ชะตาชีวิตของตัวเอง
สวี่ชิงฟังเงียบๆ
หลิงเอ๋อร์อยู่ข้างๆ มองทั้งสองคนดื่มสุรา หลังจากที่นางคิดอยู่ครู่หนึ่งก็วิ่งไปที่ครัว ถกแขนเสื้อขึ้น เตรียมทำกับแกล้มให้กับพวกเขาทั้งสอง
นี่เป็นสิ่งที่พี่สาวและป้าๆ ที่นางรู้จักสอนให้ ผู้ชายเวลาดื่มเหล้า ในฐานะที่เป็นศรีภรรยาจะต้องทำกับแกล้มสักสองสามอย่าง เช่นนี้ถึงจะแสดงความเป็นแม่ศรีเรือนได้ดียิ่งขึ้น
การกระทำของหลิงเอ๋อร์ทำให้สวี่ชิงเงยหน้ากวาดสายตามองไปอย่างอดไม่ได้ อยากจะพูดอะไรแต่ก็หยุดเอาไว้ เห็นหลิงเอ๋อร์เบิกบานดีใจ เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
แม้ตวนมู่ฉางจะเห็นเช่นกัน แต่เรื่องเล็กๆ แบบนี้เขาย่อมไม่เอามาใส่ใจ ตอนนี้ดื่มสุราพลางเล่าเรื่องตำหนักพระจันทร์สีชาดที่เขารู้ทั้งหมดอย่างละเอียด
สำหรับคนท้องถิ่นแล้ว ความเข้าใจต่อตำหนักพระจันทร์สีชาดของพวกเขามากกว่ารายงานข่าวจากนอกแผ่นดินใหญ่
สวี่ชิงฟังอย่างตั้งใจ จวบจนหลังจากนั้นครู่หนึ่ง เสียงแหบแห้งของตวนมู่ฉางก็ดังก้อง
“นับๆ เวลาดู ตำหนักพระจันทร์สีชาดก็ใกล้จะมาแล้ว วันหน้าเมื่อเจ้าจากไป มองเห็นจากไกลๆ จำไว้ว่าต้องก้มหน้า พวกมันดูออกง่าย เป็นสีแดงเถือกไปทั้งแถบ
“โดยปกติแล้ว ขอเพียงไม่ไปหาเรื่อง ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดก็จะไม่สนใจเผ่าต่างๆ และผู้บำเพ็ญไร้สังกัด เหมือนช้างที่ไม่สนใจมดปลวกฉันนั้น”
ตวนมู่ฉางเยาะเย้ยตัวเอง
“สิ่งที่พวกมันสนใจมีเพียงแต่ละเผ่าเตรียมเครื่องสังเวยได้สำเร็จหรือไม่ หากเผ่าใดทำไม่สำเร็จ เช่นนั้น เผ่าๆ นั้นก็จะถูกนำมาชดเชย
“อย่างเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว เผ่าตำราขาวที่อาศัยอยู่ทางเหนือ ก็เพราะทำตามเงื่อนไขของตำหนักเทพไม่สำเร็จ ดังนั้น ทูตเทวะคนหนึ่งจึงลงมาเยือนพร้อมด้วยผู้รับใช้เทวะจำนวนหนึ่ง พรากคนในเผ่าไปเจ็ดส่วนเพื่อชดเชย”
“ทูตเทวะมีพลังบำเพ็ญระดับใดหรือขอรับ” สวี่ชิงถาม
“ทูตเทวะตำหนักเทพพระจันทร์แดงมีเท่าไร คนนอกไม่รู้ พวกมันเผ่าพันธุ์แตกต่างกันไป พลังบำเพ็ญล้วนเป็นระดับหวนสู่อนัตตา ส่วนผู้รับใช้เทวะเป็นระดับสมบัติวิญญาณ ส่วนตั้งแต่ระดับสมบัติวิญญาณลงไปจะเป็นทาสเทวะ”
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยถามขึ้นว่า
“มีบุตรเทวะหรือไม่”
“มี!” ตวนมู่ฉางในดวงตาฉายแววหวาดเกรง
“ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดมีบุตรเทวะหนึ่งองค์ ว่ากันว่าเขาเป็นเครือญาติที่แท้จริงของชื่อหมู่ พลังบำเพ็ญไม่รู้ และสำหรับเขาแล้วพลังบำเพ็ญไม่สำคัญแล้ว สิ่งที่สำคัญคือพลังเทพเจ้าที่เขาครอบครอง



ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา