บทที่ 57 เหรียญวิญญาณหนึ่งเหรียญ
เรื่องในคืนนั้นทำสวี่ชิงหัวเสียมาก เขาเดิมทีไม่อยากจะสังหารคนตั้งแต่วันแรกที่มาถึงเจ็ดเนตรโลหิต แต่อีกฝ่ายก็ยังฝืนยัดปัญหามาให้
ถ้าหากสวี่ชิงไม่ได้มีพลังบำเพ็ญกับพลังต่อสู้เพียงพอหรือเป็นคนอื่นแล้วล่ะก็ เกรงว่าคืนนั้นจะเป็นหรือตายก็ยังบอกได้ยาก
ดังนั้นการลงมือของเขาเวลานี้จึงรวดเร็วราวสายฟ้าฟาด และพอเสียงเขาดังออกมา หญิงสาวที่กรีดร้องก็เก็บเสียงทันที สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง แต่นางรู้ข้อดีของการเป็นผู้หญิง
และเข้าใจว่าสำหรับผู้ชายแล้ว หญิงสาวที่กำลังหวาดกลัวลนลาน จะมากจะน้อยก็ยังทำให้คนสงสารอยู่บ้าง จึงทำให้ความกลัวลนลานของตนเองเกินจริงขึ้นไปอีก
สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ เคี้ยวถังหูลู่ลูกสุดท้ายในปากพลางสาวเท้าเดินเข้าหาอีกฝ่าย ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมระมัดระวังพรรคพวกของอีกฝ่ายรอบๆ ด้วยๆ คนเดินถนนรอบๆ ก็หลีกทางให้เขาเดินเข้ามานานแล้ว
แม้ในนี้จะมีผู้บำเพ็ญอยู่หลายคนที่เห็นการกรีดร้องน่าเวทนาของหญิงสาวคนนั้น คิดจะสอดมือ แต่หลังจากสังเกตเห็นกลิ่นอายของตัวสวี่ชิง ก็รีบร้อนละทิ้งความคิดนี้ไปทันที
พอเห็นสวี่ชิงเดินเข้ามา หญิงสาวที่เท้าถูกแทงทะลุ อาการเจ็บปวดทวีความรุนแรงขึ้น จงใจทำให้ร่างกายสั่นเทิ้มยิ่งขึ้น หน้าผากผุดเหงื่อ นางจำเสียงของสวี่ชิงได้แล้ว
อันที่จริงตั้งแต่วันนั้นที่นางโยนปัญหาสวี่ชิง ตอนสังเกตถึงสายตารวมถึงความโหดร้ายตอนลงมือ นางก็หวาดระแวงอย่างมาก นางตระหนักได้ว่าตนเองไปกระตุ้นโทสะของตัวตนที่น่ากลัวเข้าแล้ว
ดังนั้นหลายวันนี้นางจึงหลบซ่อนตัว ไม่ออกไปด้านนอก วันนี้เมื่อรู้สึกว่าช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานน่าจะผ่านพ้นไปแล้ว ตัวตนที่น่ากลัวนั่นน่าจะเป็นพญามังกรจากพื้นที่อื่น ช่วงกลางวันคงไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร
ดังนั้นนางจึงเพิ่งออกมา แต่นางก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมาเจออีกฝ่ายอีก
พบกันก็ช่างเถิด นางมั่นใจว่าหนีเอาตัวรอดได้แน่ ถึงอย่างไรนางก็เป็นประชาชนทั่วไป มีหน่วยลาดตระเวนรับผิดชอบความสงบสุขอยู่ ตามหลักการณ์แล้วคือนางยังปลอดภัย
แต่ตอนนี้เมื่อมองเงาที่เดินเข้ามาย่อตัวลงด้านหน้าตนเอง จู่ๆ นางก็เกิดลางสังหรณ์ขึ้น เกรงว่าหน่วยลาดตระเวนยังไม่ทันมา ตนเองก็คงตายที่นี่ไปแล้ว
ดังนั้นนางจึงใช้ความบอบบางหญิงสาวที่ทำให้คนสงสารเห็นใจ แสดงอาการสั่นเทาของร่างกายและความหวาดกลัวในดวงตาออกมาอย่างหมดจด คิดจะถ่วงเวลา
“เลิกเสแสร้งเสียที” สวี่ชิงย่อตัวลงด้านหน้าหญิงสาว ดึงไม้เสียบออกจากฝ่าเท้า
ความเจ็บปวดรวมไปถึงสิ่งที่คิดถูกอีกฝ่ายทำลายลง ทั้งหมดนี้ทำให้ความหวาดกลัวในดวงตาหญิงสาวเป็นของจริงขึ้นมา และสังเกตเห็นว่าเวลานี้อีกฝ่ายอยู่ใกล้กับตนเองมาก ในใจนางไม่ยินยอมอยู่พักหนึ่ง กำมือขวาแน่นไม่ขยับเขยื้อน แต่ก็ยังไม่กล้าสาดผงพิษในมือออกไป
และในตอนนี้ บนถนนที่ห่างออกไปก็มีเสียงหวีดหวิวเข้ามา ผู้บำเพ็ญหน่วยลาดตระเวนกลุ่มหนึ่ง เหมือนสังเกตเห็นเรื่องทางนี้ กำลังพุ่งมาอย่างรวดเร็ว
ดวงตาหญิงสาวมีความหวังขึ้นมาทันที
แต่ไม่นาน พอสวี่ชิงล้วงตรากรมปราบพิฆาตในตัวออกมา ผู้บำเพ็ญกองกำลังลาดตระเวนกลุ่มนั้นก็หันหลังกลับไปไม่เหลียวหลังสักคน ความหวังในดวงตาหญิงสาวถูกแทนที่ด้วยความสิ้นหวัง จู่ๆ ระหว่างที่สั่นเครือ ก็ส่งเสียงเบาออกมา
“เรื่องครั้งที่แล้ว ข้าผิดเอง ข้ายินดีจะชดใช้ให้ ข้า…ข้ารู้เบาะแสของพวกประกาศจับคนหนึ่งด้วย!”
นางไม่ต่อรองกับสวี่ชิง นางที่เดินอยู่ในเงามืดมาตลอดปี เข้าใจเป็นอย่างดีว่าเวลาเผชิญหน้ากับคนที่แกร่งกว่าตนเอง ที่สามารถบดขยี้ตนเองได้ และตนเองไม่มีคุณสมบัติจะไปต่อรองด้วย การเชื่อฟังอย่างว่าง่ายเป็นหนทางเดียวที่จะรอด
ดังนั้นนางไม่รอให้สวี่ชิงเอ่ยปาก รีบบอกเบาะแสออกมาอย่างรวดเร็ว
“คนร้ายประกาศจับคนนั้นคือชิงอวิ๋นจื่อศิษย์ที่ถูกทอดทิ้งจากสำนักเมฆาวิญญาณ หลายวันนี้เขาพักอยู่ในถนนทองผุด ในโรงเตี๊ยมที่พวกเราพบกันครั้งที่แล้วนั่นล่ะ”
“คนร้ายประกาศจับหรือ” สวี่ชิงหยิบแผ่นหยกของหัวหน้ากลุ่มออกมา หลังจากตรวจสอบก็พบชื่อของชิงอวิ๋นจื่อ กวาดตาดูผาดหนึ่ง รางวัลประกาศจับอยู่ที่หินวิญญาณยี่สิบก้อน
“แล้วก็ ข้าได้ยินว่าช่วงนี้กรมปราบพิฆาตกำลังตรวจสอบอะไร ข้ายังรู้ตำแหน่งกบดานแห่งหนึ่งนกเขาราตรีด้วย” ในสกานการณ์วิกฤตอย่างยิ่ง เพื่อจะรักษาชีวิตหญิงสาวจึงทุ่มทุกสิ่งที่มีออกมาทั้งหมด รีบร้อนเอ่ยปากบอกตำแหน่งกบดานออกมา
สวี่ชิงฟังมองหญิงสาวคนนี้พูดจบ จ้องอย่างลึกซึ้งผาดหนึ่ง คิดไปถึงคำว่าสายของนายกองขึ้นมา จึงล้วงเหรียญวิญญาณเหรียญหนึ่งออกมา ยื่นส่งไปให้นาง
“หลังจากนี้ถ้ามีเบาะแสเช่นนี้ ก็มารอข้าที่นี่”
หญิงสาวมึนงง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เข้าใจความหมายของประโยคนี้ เพียงไม่นานนางก็กัดฟันแน่น พยักหน้า จากนั้นรับเหรียญวิญญาณ แล้วเดินกะโผลกกระเผลกออกไปท่ามกลางสายตาส่งแขกของสวี่ชิง
จนกระทั่งเงาของหญิงสาวหายไปในฝูงชน สวี่ชิงลุกขึ้นยืน เขาไม่ได้ไปยืนยันเรื่องที่กบดานนกเขาราตรีว่าจริงหรือไม่ เขาแค่ต้องไปรายงานที่กรม เดี๋ยวก็จะมีคนไปตรวจสอบเอง
ดังนั้นหลังจากออกลาดตระเวนในเมืองอีกรอบ ช่วงยามเย็น สวี่ชิงจึงไปยังโรงเตี๊ยมที่พักในวันนั้น
ช่วงกลางวัน โรงเตี๊ยมก็ยังเปิดอยู่ แต่คนที่เข้าไปก็แทบจะไม่มี
สวี่ชิงกวาดตามองไปไกลๆ คิดถึงความประหลาดของเถ้าแก่โรงเตี๊ยมขึ้นมา เขาไม่ได้บุ่มบ่าม แต่กลับไปยังกรมปราบพิฆาต หลังจากรายงานเบาะแสที่กบดานแล้ว จึงออกเวรแล้วจากมา
ส่วนเรื่องหญิงสาวคนนั้นจะตอบรับแค่ผิวเผิน จะหายไปหลังจากจบเรื่องหรือไม่ สวี่ชิงไม่สนใจ เพราะเหรียญวิญญาณที่นางรับไปเหรียญนั้น มีพิษอยู่…
สามวันให้หลัง จำเป็นต้องมียาแก้พิษ
ระหว่างทางก็พบกับสมาชิกกองที่หกอีกหลายคน หลังจากเห็นสวี่ชิงก็ล้วนกวาดตาเย็นชามา ต่างฝ่ายต่างไม่พูดคุยกัน มีเพียงสมาชิกกลางคนคนหนึ่ง หัวเราะสรวลเชื้อเชิญสวี่ชิงไปร่ำสุราด้วยกัน
ในขณะที่เจ็ดเนตรโลหิตไม่อนุญาตให้สังหารกันในที่แจ้ง แต่กลับช่วงชิงกันและกันในที่มืด การเชื้อเชิญเช่นนี้ดูเกินเลยไปเสียหน่อย และยิ่งทำให้สวี่ชิงระแวดระวังขึ้น จึงปฏิเสธไปเรียบๆ
วันนี้เป็นวันพิเศษวันหนึ่ง เขาไม่อยากสังหารใคร อยากจะอยู่เพียงลำพัง


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา