เข้าสู่ระบบผ่าน

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา นิยาย บท 56

บทที่ 56 สมาชิกใหม่ของกรมปราบพิฆาต

กระดูกสัตว์ชิ้นนี้รูปร่างเหมือนตะขอ ขนาดประมาณฝ่ามือ สีแดงทั้งชิ้น เปล่งประกายประหลาดออกมา

พอมองอย่างละเอียด จะเห็นถึงลวดลายธรรมชาติบางส่วนอยู่ที่ผิวนอก

ลวดลายเหล่านี้แฝงพลังบางส่วนเอาไว้ ดูดรับพลังวิญญาณจากทุกทิศทางด้วยตนเองได้ จนก่อเกิดสายลมเป็นวูบๆ หมุนวนอยู่บนฝ่ามือของจางซาน

“กระดูกปลาบินหรือ ของสิ่งนี้ถ้าใช้กับค่ายกล จะเสริมแรงให้กับความเร็วของเรือเวทได้ไม่เลวเลย จางซาน ทำไมวันนี้เจ้าถึงใจกว้างเสียเหลือเกิน” นายกองที่หกกินสาลี่ในมือ ย่อตัวลงไปข้างๆ จางซาน ใช้ไหล่สะกิดจางซาน เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“ศิษย์น้องสวี่ชิงพึ่งเข้ามา ข้ายังไงก็ต้องแสดงน้ำใจบ้างสิ” จางซานเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบง่าย

สวี่ชิงไม่ได้รับของขวัญชิ้นนี้ แต่มองไปทางนายกอง ขอความเห็นจากอีกฝ่าย เขารู้สึกว่าที่จางซานทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะตนเอง แต่น่าจะเป็นเพราะนายกองมากกว่า

เห็นสายตาของสวี่ชิง นายกองก็คลี่ยิ้ม

“รับไว้เถอะ ที่เขาให้สิ่งนี้กับเจ้าก็เพื่อบอกว่าหลังจากนี้ถ้าไม่มีเรื่องก็อย่ามาจับคนร้ายแถวนี้บ่อยนัก”

สวี่ชิงพอได้ยินก็มองจางซานผาดหนึ่ง จางซานก็ยิ้มกลับอย่างจริงใจ

สวี่ชิงพยักหน้า รับกระดูกปลามาพิจารณาอย่างสนอกสนใจครู่หนึ่ง จากนั้นก็เก็บเข้าไปในถุงเก็บของ

หลังจากครุ่นคิด เขาก็เลียนแบบนายกอง ย่อตัวลงนั่งข้างๆ แต่ยังรักษาระยะไว้ส่วนหนึ่ง

เมื่อเห็นสวี่ชิงทำเช่นนี้ รอยยิ้มจางซานก็ยิ่งจริงใจมากขึ้นอีก

“จางซาน ช่วงนี้ที่นี่มีอะไรผิดปกติบ้างหรือไม่” นายกองกินสาลี่ในมือจนหมด จากนั้นก็หยิบท้อออกมาอีกผล กัดลงไป

สวี่ชิงสนใจทันที มองไปทางจางซาน

จางซานล้วงยาสูบมวนหนึ่งออกมา หลังจากสูดไปคำหนึ่ง ก็เคาะเบาๆ พอเขม่าร่วงลงบนพื้นก็กลายเป็นภาพของผู้ชายคนหนึ่ง รวมไปถึงตัวหนังสืออีกแถว

“ช่วงนี้มีหน้าใหม่เข้ามาทางท่าเรือทางใต้เยอะมาก”

นายกองที่หกทำหน้าเหมือนครุ่นคิด ตบๆ ลงบนบ่าจางซาน ยิ้มให้กับสวี่ชิง

“ศิษย์น้อง เจ้าไปก่อนเถอะ วันนี้เลิกเวรแล้ว จำไว้ว่าพรุ่งนี้อย่ามาสาย”

สวี่ชิงพอได้ยิน รู้ว่าทั้งสองคนมีเรื่องคุยกัน จึงพยักหน้า ประสานมือไปทางนายกองกับจางซาน จากนั้นหันหลังเดินออกมา

ตอนนี้เป็นช่วงเย็น แสงตะวันสีส้มสาดลงมาบนตัวเขา ส่องจนชุดนักพรตสีเทาทั้งตัวเกิดสีเจิดจ้า ทั้งสองคนที่นั่งยองอยู่ด้านหลังเขา ล้วนเงยหน้าสายตาจับจ้องตามหลังไป

จนกระทั่งสวี่ชิงเดินห่างออกไประยะหนึ่ง นายกองจึงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“สมาชิกใหม่คนนี้เป็นอย่างไรบ้าง วันนี้เจ้าดูใจกว้าง หาได้ยากเสียจริง”

“สมาชิกใหม่หรือ เจ้าไปหาเด็กนี้มาจากที่ใด ปฏิกิริยาแรกที่เจ้าเด็กนี่มองข้าก็คือมองมาที่คอ คนเช่นนี้ข้าจะไม่ใจกว้างด้วยได้อย่างไรกัน!”

นายกองพอฟังถึงจุดนี้ ก็หัวเราะร่าขึ้นมา

“เจ้ายังหัวเราะอีกหรือ ความเคยชินแบบใดกันที่จะบ่มเพาะสัญชาตญาณจ้องมองคออื่นเขา”

จางซานยิ้มขืน ลูบคอตนเอง จนถึงตอนนี้เขายังรู้สึกสยองพองเกล้าอยู่เลย สูบยาสูบหนักๆ ไปทีหนึ่ง

“แน่นอนว่าคงเป็นคนที่เชือดคอคนมาจนชินแล้วนั่นล่ะ” นายกองที่หกยิ้มอย่างเบิกบาน เมื่อกินลูกท้อในมือหมด ก็ล้วงเอาลูกท้ออีกผลออกมากัดคำใหญ่

“เด็กคนนี้ หน้าตาก็งดงาม แต่ปราณสังหารบนเข้มข้นเหลือเกิน แม้เขาจะปิดบังไว้สุดกำลัง แต่ข้าก็ยังสัมผัสได้ โดยเฉพาะสายตาของเขา” จางซานสีหน้าเคร่งขรึม

“เจ้าสังเกตเห็นหรือยัง นั่นเป็นดวงตาที่มีนิสัยหากเป็นหนี้ต้องชดใช้ ราวกับว่าเรื่องการสังหารคน ขอแค่สอดคล้องกับหลักการตนเอง ก็ไม่มีอะไรที่สังหารไม่ได้…

“คนเช่นนี้ ถ้าเจ้าใช้เป็นก็จะดี แต่ถ้าใช้ไม่เป็นก็ต้องระวังถูกแว้งกัดด้วย ข้าสัมผัสได้รางๆ ว่ามีคนที่ตายด้วยมือเขาไปไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้รู้สึกอันตรายสุดๆ อีก

“ถ้าหากข้าเจอบนทะเล ข้าไม่มีทางไปยั่วโมโหแน่ ข้ายังไม่อยากตาย” จางซานมองนายกองที่หกอย่างตั้งใจ

“เป็นศิษย์น้องที่น่าสนใจ” นายกองที่หกมองทิศทางที่สวี่ชิงเดินจากไปด้วยรอยยิ้ม เหมือนว่าจางซานยิ่งพูดเช่นนี้ เขาก็ยิ่งเบิกบานใจ

จางซานด้านข้างถอนหายใจอย่างจำใจออกมา เมื่อแอบมองเจ้าหมอนี่ก็ดูไม่ปกติเหมือนกัน พฤติกรรมก็แปลกประหลาดเหลือเกิน

ตอนที่นายกองกับจางซานเอ่ยถึงสวี่ชิง เขาก็เดินมาถึงถนนของท่าเรือแล้ว เวลานี้สีท้องฟ้าใกล้จะโพล้เพล้ คนบนถนนก็ค่อยๆ บางตา ร้านขายยาส่วนใหญ่ก็ล้วนปิดแล้ว สวี่ชิงจึงกลับไปยังท่าจอดเรือของตนเอง

หลังจากกลับมา เขาไม่ได้ล้วงเรือเวทออกมาทันที แต่ตรวจสอบที่นี่อย่างละเอียดเสียรอบหนึ่ง

เมื่อวานมีคนเข้ามาที่นี่ด้วยจิตสังหาร ดังนั้นวันนี้สวี่ชิงกลับมาก็ตรวจสอบอย่างละเอียด กระทั่งยังสาดผงพิษบางส่วนลงไปในทะเลด้วย พอยืนยันว่าไร้เหตุผิดปกติ จึงล้วงเรือเวทออกมา เหยียบขึ้นไปบนเรือ

พริบตาที่เกราะป้องกันเรือเวทปรากฏขึ้น สวี่ชิ่งที่เดินเข้าไปในเรือ ในใจลึกๆ ก็วางใจขึ้นเล็กน้อย

หลังจากนั่งขัดสมาธิ เขาไม่ได้ฝึกบำเพ็ญทันที แต่ครุ่นคิดถึงเรื่องทั้งหมดในวันนี้

สวี่ชิงมองนายกองทางนั้นไม่ออก แต่เขาจดจำคำพูดทั้งหมดที่อีกฝ่ายพูดไว้แล้ว ลางสังหรณ์บอกกับตนเองว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดน่าจะเป็นเรื่องจริง

ส่วนจางซาน สวี่ชิงสังเกตว่าอีกฝ่ายเหมือนจะซ่อนอารมณ์บางอย่างไว้ ราวกับกำลังหวาดกลัวตนเองอยู่อย่างไรอย่างนั้น

แล้วก็ศิษย์ที่แต้มอุทิศเป็นศูนย์ ไม่สามารถออกจากที่นี่ด้วยตนเองได้ จ้องมองท้องฟ้าอย่างสิ้นหวังและสุดท้ายก็ตายจนกลายเป็นฝุ่นคนนั้น

สิ่งที่เห็นในวันนี้ ทำให้สวี่ชิงตระหนักได้ว่าศิษย์ส่วนใหญ่ที่ใช้ชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่โหดร้ายของเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิตแห่งนี้ได้ล้วนไม่ธรรมดา จะมองเพียงเปลือกนอกเสียทั้งหมดไม่ได้

อย่างนายกองหรือจางซาน ไม่ว่าจะคนใดหากไปอยู่ในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดล่ะก็ เกรงว่าคงจะเอาชีวิตคนเหล่านั้นมาวางบนฝ่ามือ ชี้เป็นชี้ตายชีวิตคนอื่นได้แน่นอน

และทั้งเจ็ดเนตรโลหิต จากที่สวี่ชิงเห็นเวลานี้ ก็ดูคล้ายกับพื้นที่ต้องห้ามอีกแห่งหนึ่งจริงๆ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องหมั่นฝึกบำเพ็ญ

โดยเฉพาะตอนที่คิดไปถึงชายหนุ่มชุดนักพรตสีม่วงอ่อนที่เห็นเมื่อตอนกลางวันคนนั้น แม้อีกฝ่ายจะเป็นแค่ระดับรวมปราณ แต่ฐานะสูงส่งรวมไปถึงท่าทีที่ผู้คนรอบๆ ก้มหัวให้ ก็ทำให้สวี่ชิงสัมผัสได้ถึงความห่างชั้นที่คุ้นเคย

ตั้งแต่เล็กจนโตเขาเห็นความแตกต่างทางชนชั้นมามากมาย และรู้ว่าจะจัดการอย่างไร

นอกจากนั้น ก็ยังเป็นความระแวดระวังโดยพื้นฐาน สวี่ชิงจึงไม่ไปสอบถามนายกองเกี่ยวกับข้อมูลคนที่มอบป้ายแนะนำให้แก่ตนเอง

ถ้าหากอีกฝ่ายจะปรากฏตัว ก็คงปรากฏตัวออกมาเอง ถ้าไม่คิดจะออกมา สวี่ชิงเองก็ไม่อยากจะเฟ้นหาคำตอบเช่นกัน

‘ไม่น่าจะเป็นการช่วยเหลือของปรมาจารย์ไป่’ สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก หลับตาลง เริ่มฝึกบำเพ็ญ

บทที่ 56 สมาชิกใหม่ของกรมปราบพิฆาต 1

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา