บทที่ 55 นายกองผู้แปลกประหลาด
สัมผัสได้ว่าพลังฝึกของทั้งสองคนเหมือนอยู่ในระดับรวมปราณขั้นที่หก หลังจากวิเคราะห์แล้วสวี่ชิงรู้สึกว่าไม่ใช่ภัยคุกคาม กำลังรบของตัวเองในตอนนี้สามารถสังหารได้ ดังนั้นจิตใจจึงนิ่งสงบ
เด็กหนุ่มเหมือนจะสัมผัสได้ถึงสายตาของสวี่ชิงจึงลูบคอไปโดยสัญชาตญาณ สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย เขารู้สึกว่าสมาชิกใหม่ข้างหน้าคนนี้ไม่เหมือนกับสมาชิกใหม่คนอื่นมากๆ
ผู้บำเพ็ญหญิงก็รู้สึกเหมือนกัน นางหรี่ตาฉายแววสนใจออกมา เลียริมฝีปาก พูดกับเด็กหนุ่ม
“เจ้าเฝ้าประตูให้ดี ข้าจะพาศิษย์น้องคนนี้เข้าไป” พูดแล้วนางก็เผยรอยยิ้มหวาน พาสวี่ชิงเดินเข้าไปข้างในกรมปราบพิฆาตด้วยตัวเอง
“ศิษย์น้อง ไปกับข้าเถอะ”
สวี่ชิงเอ่ยขอบคุณ
ชายหนุ่มที่อยู่หน้าประตูมองภาพนี้ก็ส่ายหน้าเบาๆ
“ยัยผู้หญิงเจ้าชู้คนนี้ นี่คือจะเปลี่ยนชายบำเรอหรือไร แต่เจ้าเด็กนี่แม้จะไม่ค่อยเหมือนกับสมาชิกใหม่คนอื่น แต่กรมปราบพิฆาตที่แห่งนี้ จะรอดสามเดือนไปได้หรือไม่ยังต้องว่ากันอีกเรื่อง”
ในกรมปราบพิฆาตตอนนี้ สวี่ชิงเดินตามผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าโดยรักษาระยะห่างเอาไว้ในระดับหนึ่งมาตลอดทาง เดินอยู่ในลานกว้าง ที่เห็นในสายตาล้วนเป็นลูกศิษย์สวมชุดนักพรตสีเทาเหมือนกับเขา
ทุกคนเหมือนพลังบำเพ็ญอย่างน้อยๆ ก็เป็นระดับรวมปราณขั้นห้าขั้นหกทั้งนั้น ในนั้นมีพลังบำเพ็ญระดับรวมปราณขั้นเจ็ด ขั้นแปดด้วย บางคนเย็นชา บางคนเหมือนจะอ่อนโยน บางคนตัวมีกลิ่นคาวเลือด และยังมีบางคนถือข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เหมือนว่าจะธรรรมดามากๆ
มองโดยภาพรวมแล้ว ยากจะเห็นกลิ่นอายเหมือนกันที่เป็นของกรมกรมหนึ่ง ล้วนเว้นระยะห่างเหมือนผลักไสซึ่งกันและกัน
สวี่ชิงสังเกตรอบๆ อย่างเงียบงัน สายตากวาดไปที่คอของผู้บำเพ็ญทุกคนที่เดินผ่าน ในใจวิเคราะห์กำลังรบและตัวเองว่าจะสังหารได้หรือไม่
นี่คือสัญชาตญาณของเขา
ไม่นานนักสวี่ชิงก็ต้องยิ่งระแวงระวังมากกว่าเดิม เพราะเขาพบว่าคนที่ยากจะสังหารได้มีมาก กระทั่งว่ามีหลายคนที่ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามรุนแรง
ในขณะเดียวกันเขาก็เริ่มสังเกตโครงสร้างของกรมปราบพิฆาต ดังนั้นในสมองจึงวาดเค้าโครงอย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกัน ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าจู่ๆ ก็ถอยหลังเข้ามาใกล้เขา แล้วหัวเราะเบาๆ
“ศิษย์น้อง ทำไมเจ้าชอบมองคอคนอื่นอยู่เรื่อยเลย”
ระหว่างพูดนางก็มาถึงลำตัวสวี่ชิงแล้ว มือขวายกขึ้นกำลังคิดจะแตะหน้าอกของเขา แต่เสี้ยวขณะต่อมาสีหน้านางก็เปลี่ยนไปทันที แล้วพลันถอยพลังไปอย่างรวดเร็ว หยิบลูกกลอนออกมาสามสี่เม็ดแล้วกลืนลงไป ในยามที่เงยห้ามองสวี่ชิง สีหน้าก็เคร่งเครียด
“ข้าไม่ชอบให้คนอื่นเข้ามาใกล้ๆ” สวี่ชิงมองผู้หญิงคนนี้อย่างสงบนิ่ง
หญิงสาวมองสวี่ชิงอย่างล้ำลึก พยักหน้า เก็บแผนในใจ ตอนนี้นางรู้แล้วว่า สมาชิกใหม่ข้างหน้าคนนี้ไม่ธรรมดาเลย
“พอจะน่าสนใจอยู่บ้าง คนอย่างเจ้าบางทีอาจจะมีชีวิตอยู่ในกรมปราบพิฆาตได้นาน” พูดจบนางก็นำทางต่อ ครั้งนี้ระหว่างทั้งสองคนไม่ใช่สวี่ชิงรักษาระยะห่างแล้ว แต่เป็นหญิงสาวที่เป็นฝ่ายรักษาระยะห่างในระดับหนึ่งเอง อีกทั้งยังไม่พูดอะไรต่ออีกด้วย
เวลาผ่านไปไม่นาน จากการนำทางของหญิงสาว อ้อมอาคารเจ็ดแปดแห่งและถนนเส้นเล็กๆ สามสี่สาย ไม่นานสวี่ชิงก็ถูกนำมายังหน้าตำหนักใหญ่ ในตำหนักแห่งนี้มืดสนิท เป็นการเปรียบเทียบกับแสงอาทิตย์ข้างนอกอย่างชัดเจน
“นายกรมเจ้าคะ มีสมาชิกใหม่มารายงานตัว ชื่อว่าสวี่ชิง” หญิงสาวมาถึงตรงนี้สีหน้าก็เคร่งขรึมยิ่งขึ้น หลังจากเอ่ยเสียงดังแล้วก็ก้มหน้ายืนนิ่งไม่ขยับอยู่ตรงนั้น
สวี่ชิงสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนกัน ก้มหน้ารอคอย
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในตำหนักมืดมิดก็เหมือนมีตะเกียงสองดวงสว่างขึ้นมาทันที นั่นเป็นดวงตาคู่หนึ่ง สายตามองทะลุความว่างเปล่า ยิงพุ่งออกมาจากในตำหนัก ตกมาที่ร่างสวี่ชิง
ถูกสายตานี้จับจ้อง สวี่ชิงร่างสั่นสะท้าน รู้สึกว่ามีพลังกดดันแข็งแกร่งอย่างหนึ่งกดทับมาทั้งร่าง เหมือนว่าในตำหนักแห่งนี้ มีอสูรร้ายที่แข็งแกร่งจนให้คนหายใจไม่ออกตัวหนึ่ง
สวี่ชิงขนลุกชัน หายใจหอบถี่ มือขวาแนบไว้ที่ข้างกายโดยไม่รู้ตัว ร่างงอเล็กน้อย
ดีที่สายตาคู่นี้ไม่นานก็เก็บกลับไป แต่ตอนนี้เอง ไม่รอให้สวี่ชิงได้โล่งอก ป้ายที่มือซ้ายของเขาถูกพลังแข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งพันรัด แล้วดึงออกไป
เสียงฟุ่บดังขึ้น พุ่งเข้าไปในตำหนัก
สวี่ชิงไม่สามารถต่อกรความแข็งแกร่งนี้ได้เลย เขากระทั่งรู้สึกว่าหากพลังกระชากไม่ได้ตกมาที่ป้าย แต่มาที่ร่างของเขา น่ากลัวว่าตัวเองก็คงถูกลากเข้าไปในตำหนักทันทีเช่นกัน
สวี่ชิงเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากในตำหนัก
“ไปรายงานตัวที่หน่วยปราบนิลกาฬกองที่หกเถอะ”
ป้ายฐานะและเหรียญตราเหรียญหนึ่งของสวี่ชิงก็พุ่งออกมาจากข้างในตำหนักอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด เข้าใกล้มาหาสวี่ชิงทันทีจากคำพูดที่สะท้อนก้อง
สวี่ชิงดวงตาจ้องเพ่ง ยกมือไปคว้าเอาไว้ แรงสั่นสะเทือนที่มือสัมผัสได้จากป้ายและเหรียญตรารุนแรงมาก มันทะลักเข้ามาทั่วทั้งร่างกาย ทำให้ร่างกายท่อนบนของเขาสั่นคลอนอย่างควบคุมไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง แต่ขาทั้งสองกลับนิ่งมั่นคงมาก ไม่ถอยหลังไปแม้แต่ครึ่งก้าว
ภาพนี้ทำให้สายตาในตำหนักสว่างวาบขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แค่ค่อยๆ หลับลงไปช้าๆ อีกครั้ง
หญิงสาวที่อยู่ข้างๆ หลังจากได้เห็นปฏิกิริยาที่สวี่ชิงรับป้ายและเหรียญตรามาดวงตาก็หดเล็ก
‘ระดับการระมัดระวังเทียบเท่าได้กับคนเก่าคนแก่ของสำนัก ทั้งยังมีพลังถึงขนาดนี้…’ หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ เดิมก่อนหน้านี้หลังจากที่นางสังเกตได้ว่าสวี่ชิงไม่ได้หาเรื่องง่ายๆ ก็วางแผนไว้ว่าจะไม่ยุ่งด้วยอีกต่อไป แต่ตอนนี้ความคิดเปลี่ยนไปแล้ว นางคิดจะผูกไมตรีจิต ดังนั้นจึงเอ่ยปากขึ้น
“ศิษย์น้องสวี่ชิงข้าคุ้นเคยกับกองหกดี ข้าพาเจ้าไปเอง” พูดแล้วนางก็ส่งสัญญาณให้สวี่ชิงติดเหรียญตราได้แล้ว
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก หลังจากติดเหรียญตราแล้วก็ประสานหมัดโค้งคารวะไปทางตำหนัก แล้วจึงเอ่ยขอบคุณหญิงสาว
แม้เขาจะอายุน้อย แต่ประสบการณ์หลายปีทำให้เขาจับจิตใจคนได้อย่างเฉียบไว
ท่าทางของผู้หญิงข้างหน้าคนนี้เปลี่ยนไปไม่หยุด เขาเดาสาเหตุได้แล้ว
ความจริงก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ตลอดการเดินทางครั้งนี้ ลูกศิษย์หญิงก็เป็นฝ่ายแนะนำตัวเองกับสวี่ชิงก่อน
“ศิษย์น้อง ข้าชื่อสวีเยี่ยนหง เป็นสมาชิกหน่วยปราบพสุธากองที่เก้า ข้าเป็นเวรเฝ้าประตูใหญ่วันนี้พอดี นับว่าเป็นโชคชะตาของเจ้ากับข้า”
สวีเยี่ยนหงพาสวี่ชิงเดินไปในกรมปราบพิฆาต ชี้ไปยังสิ่งก่อสร้างแต่ละแห่งแนะนำสวี่ชิงอย่างกระตือรือร้น
“ที่นี่คือสำนักงานของรองเจ้ากรม ตรงนั้นก็มีเหมือนกัน”
“ศิษย์พี่สวี ไม่ทราบว่ารองเจ้ากรมของกรมปราบพิฆาตมีกี่คนหรือ” สวี่ชิงถามขึ้นมาหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“กรมปราบพิฆาตเรามีเจ้ากรมหนึ่งคน รองเจ้าสี่คน แบ่งเป็นหน่วยนภา พสุธา เหลืองทอง นิลกาฬ สี่หน่วย ทุกหน่วยมีผู้ใต้บัญชาการเก้ากอง กองที่เจ้าต้องไปคือหน่วยนิลกาฬกองที่หก”
“เจ้าโชคดีไม่เลวเลย รองเจ้ากรมหน่วยนิลกาฬของพวกเจ้ามักจะปิดด่านตลอด ปกติได้เจอน้อยมาก เช่นนี้ถึงสบายไม่น้อย” ได้ยินสวี่ชิงเรียกตัวเองว่าศิษย์พี่ ลูกศิษย์หญิงใบหน้ามีรอยยิ้มปรากฏขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยอธิบาย
ไม่นานนัก สวี่ชิงก็มาถึงยังหน่วยนิลกาฬจากการนำทางของนาง หน่วยนิลกาฬทั้งหมดอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกรมปราบพิฆาต ข้างในมีอาคารเล็กๆ สิบกว่าหลัง มีผู้บำเพ็ญจำนวนไม่น้อยเข้าออกตลอดเวลา เหมือนจะยุ่งไม่น้อย
เหมือนว่าระหว่างแต่ละหน่วยจะหลีกเลี่ยงกัน ดังนั้นสวีเยี่ยนหงจึงไม่ได้เข้ามา หลังจากส่งสวี่ชิง แลกช่องทางการติดต่อแล้วก็จากไป
ที่นี่ สวี่ชิงได้พบกับนายกองของกองที่หก
เขาไม่ได้เห็นคนคนนี้เป็นครั้งแรก เขาคือชายหนุ่มที่ทำให้เขารู้สึกอันตรายที่ได้พบระหว่างทางเมื่อคืนนั่นเอง ความบังเอิญเช่นนี้ทำให้สวี่ชิงรู้สึกระแวงระวังขึ้นมาอีกครั้ง
ชายหนุ่มเมื่อได้เห็นสวี่ชิงก็กวาดตามองใบหน้าเขา ไม่นานนักก็เหมือนว่าจะจำได้ แต่เหมือนว่าจะไม่แปลกใจกับการมาถึงของเขา
ภาพนี้ทำให้สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิดอะไร ถอยหลังไปสามสี่ก้าวอย่างเงียบเชียบ
“เช้าวันนี้ข้าได้บอกกับรองเจ้ากรมชี้ตัวเจ้ามาโดยเฉพาะ คิดไม่ถึงว่าไอ้หนูเมื่อเช็ดหน้าเช็ดตาสะอาดแล้ว จะแตกต่างกับเมื่อวานมากขนาดนี้เชียว” นายกองที่หกไม่ปกปิด พูดออกมาตรงๆ
“คารวะนายกอง” สวี่ชิงมองนายกองแวบหนึ่ง เอ่ยเสียงเบา ในใจยิ่งระแวงระวังขึ้นไปอีก
“ไม่แปลกใจหรือ” นายกองที่หกคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
“แปลกใจขอรับ” สวี่ชิงพยักหน้า
“แปลกใจแล้วทำไมถึงนิ่งขนาดนี้” นายกองที่หกถามอย่างแปลกประหลาดใจ
สวี่ชิงพูดไม่เก่ง แต่เขารู้สึกว่าที่อีกฝ่ายพูดมาก็มีเหตุผล ดังนั้นเมื่อคิดๆ แล้ว ก็ปั้นหน้าแปลกใจออกมา
“…” นายกองที่หกเงียบไปนาน หลังจากนั้นจึงเอ่ยปากขึ้น
“เหตุที่เอาตัวเจ้ามาก็เพราะกองของข้าหลายวันนี้ตายไปหลายคน กำลังคนไม่พอ อีกทั้งภารกิจต่อไปนี้จะมากและหนักหนา” นายกองที่หกเมื่อพูดถึงตรงนี้ก็มองสวี่ชิง
สวี่ชิงเมื่อได้ยินว่าตายไปหลายคนประโยคนี้ ในใจพลันเคร่งเครียด แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถาม แต่มองนายกองรอคอยคำตอบ
เห็นสวี่ชิงเป็นเช่นนี้ นายกองที่หกก็หัวเราะออกมาอย่างพอใจ
“ไม่เลว ดีกว่าสมาชิกใหม่สามสี่คนก่อนหน้านี้ สวี่ชิง เจ้ามาวันนี้วันแรกยังไม่คุ้น เช่นนี้แล้วกัน ข้าจะพาเจ้าเดินลาดตระเวนครั้งหนึ่ง ถือโอกาสบอกหน้าที่ของกรมปราบพิฆาตกับเจ้าโดยละเอียดด้วยเลย”
นายกองของกองที่หกนี้เป็นคนทำอะไรรวดเร็ว พูดจบก็ไม่ได้แนะนำสมาชิกคนอื่นๆ ให้เขา พาสวี่ชิงออกไปเดินบนถนนทันที
บนถนนที่ครึกครื้นเอะอะ นายกองที่หกพาสวี่ชิงเดินทอดน่องไปข้างหน้า ประเดี๋ยวๆ ก็ทักทายกับพ่อค้าแม่ขายที่อยู่รอบๆ ดูแล้วอ่อนโยนมาก แต่เมื่อวานสวี่ชิงได้เห็นความโหดเหี้ยมในดวงตาของเขามาแล้ว รู้ว่าคนคนนี้ไม่ได้อ่อนโยนเหมือนที่แสดงออกมา ดังนั้นจึงเริ่มรักษาระยะห่างในระดับหนึ่ง ในใจระมัดระวังขึ้นมา
ในใจเขาก็วิเคราะห์พลังบำเพ็ญของนายกองที่อยู่ข้างหน้าคนนี้ด้วย รู้สึกว่าน่าจะเป็นระดับรวมปราณขั้นเก้า ไม่ก็ขั้นสิบ
ความแข็งแกร่งด้านกำลังรบของลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตระดับรวมปราณขั้นเก้าขั้นสิบ อยู่เหนือสวี่ชิงเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา