บทที่ 570 พวกเจ้าดูสิ บนตะปูนั่นมีคนใช่หรือไม่ (2)
หนิงเหยียนตื่นกลัวไปแล้วโดยสมบูรณ์ ส่วนอู๋เจี้ยนอูจะร้องไห้แล้ว
“จบเห่แล้ว ข้าอยู่ข้างนอกก็บอกแล้วว่าครั้งนี้ข้ามีลางสังหรณ์ไม่ดี เจ้าก็รั้นลากข้าเข้ามา!!”
“เฉินเอ้อร์หนิว เจ้าทำอะไรกันแน่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!”
พวกเขาสองคนบีบยันต์ส่งข้ามตั้งนานแล้ว แต่การส่งข้ามที่ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอนจากปากนายกอง ตอนนี้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินก็สูญเสียไปซึ่งพลังการส่งข้าม
นายกองก็สูดลมหายใจเช่นกัน ดวงตาเบิกกว้าง สับสนทำตัวไม่ถูกไปเล็กน้อย
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เรื่องนี้ไม่ค่อยชอบมาพากล แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ข้าก็แค่เข้ามาถ่ายภาพก็เท่านั้น ไม่ได้ทำเรื่องอะไรเลย ไม่ถึงกับเกิดเรื่องถึงเพียงนี้นี่นา เผ่าเงารัตติกาลไยถึงไร้เหตุผลถึงเพียงนี้ เมื่อลงมือก็ทำท่าเหมือนจะทำลายทุกอย่าง!
“พวกเขาจะทำอะไร ทำกันเกินไปแล้ว!”
นายกองร่างสั่นเทิ้ม เงยหน้ามองไปทางตะปูสีฟ้าที่กำลังพุ่งลงมาอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ สีหน้างุนงงสับสนของเขาถูกแทนที่ด้วยความหวาดหวั่นตื่นตะลึงอย่างรวดเร็ว สบถเสียงหลงออกมา
“มารดามันสิ…นี่มันทหารของเจ้าเหนือหัว!!!
“เผ่าเงารัตติกาลเป็นไอ้พวกเสียสติ เพื่อสังหารพวกเราถึงขนาดเคลื่อนทหารแห่งเจ้าเหนือหัวเชียวหรือ ตอนนั้นไม่เคยเห็นพวกเขาโหดขนาดนี้! แต่พวกเขาเอาทหารแห่งเจ้าเหนือหัวมาจากที่ใด ไม่ถูก นี่มันตะปูกลางหน้าผากบุตรคนที่สามของเจ้าเหนือหัว!
“มารดามันสิ นี่มันของที่ข้าเตรียมจะไปเอาตอนทำการใหญ่เรื่องที่หกนี่นา ใคร!! เป็นใครที่ชิงตัดหน้าข้า!!”
นายกองในใจเกิดคลื่นซัดโหม ยิ่งไม่สบอารมณ์ แต่กลิ่นอายที่มาจากทหารแห่งนายเหนือหัวก็ทำเอาเขาสั่นสะท้านไปเช่นกัน บีบแผ่นหยกอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ไม่ได้ผล ร่างของเขาก็กระโดดขึ้นไปยังทีไกล หนีทันที
วิ่งไปด้วยทั้งยังบีบแผ่นหยกจำนวนมากกว่าเดิมไปด้วย ขณะเดียวกันปากก็ตะโกนอย่างบ้าคลั่ง
“พวกเจ้าสองคนเลิกแหกปากได้แล้ว รีบหนีพร้อมกับข้าเถอะ ที่นี่เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ฝีมือข้าจริงๆ นะ!”
“เป็นเจ้านั่นแหละ” อู๋เจี้ยนอูตาแดงแล้ว ตวาดอย่างโมโหขึ้นมา แต่เขารู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาโมโห จึงกัดฟันในใจ แอบพูดว่าตัวเองหากมีชีวิตรอดออกไป จะต้องหนีให้ห่างจากไอ้บ้านี่ทันทีอย่างแน่นอน
“ตอนนั้นที่ต้นสิบลำไส้ก็แบบนี้ เฉินเอ้อร์หนิว เจ้าไม่หาเรื่องตายแล้วจะตายหรือไง!!” หนิงเหยียนอกสั่นขวัญกระเจิง วิกฤตอันตรายเป็นตายประเภทนี้สะกดความกลัวนายกองของเขาลงไป คำรามออกมาอย่างอดไม่ได้ แต่ก็ยังคงมองไปทางนายกองที่ห้อตะบึงไปทางนั้น
ไม่นานนัก ทั้งสามคนก็หนีอย่างไม่คิดชีวิตราวกับกระต่ายสามตัวไปบนพื้นดินของเศษเสี้ยวนี้
แต่เสี้ยวขณะต่อมา เสียงคำรามบนท้องฟ้าดังมายิ่งกว่าเดิม ขอบเขตการพังทลายกว้างขึ้นเช่นกัน
จวบจนกระทั่งก้อนน้ำแข็งนับไม่ถ้วนถล่มและร่วงลงมาจากข้างบน ตะปูที่มาพร้อมด้วยพลานุภาพมหาศาล ประดุจทรงพลังไร้เทียมทาน ทะลุทะลวงซึ่งทุกสิ่ง พุ่งลงมาในเศษเสี้ยวโลกใบใหญ่โดยมสมบูรณ์
การลงมาเยือนของมันปะทุระลอกคลื่นพลังน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่งออกมา วิญญาณมากมายครวญครางดับสลาย ฟ้าดินเกิดการระเบิดแผ่ลาม พวกนายกองทั้งสามคนทำได้แค่เพียงเกาะกลุ่มกัน กางหนังผืนนั้นหนีไปอย่างรวดเร็วด้วยเนื้อตัวที่สั่นสะท้าน
ส่วนนายกองในใจเจ็บใจนัก อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองตะปูที่กำลังพุ่งลงมาที่พื้นอย่างรวดเร็ว หลังจากมองขึ้นไป รูม่านตาของเขาก็พลันหดเล็ก สูดลมหายใจลึก
“มารดามันสิ บนตะปูนั่น…มีคนอยู่!!”
หนิงเหยียนและอู๋เจี้ยนอูเมื่อได้ยินก็หันไปมองตามสัญชาตญาณ สิ่งที่เห็นในดวงตาคือ บนตะปูขนาดมหึมาน่าหวาดกลัวนั่นมีเงาร่างหนึ่งยืนอยู่จริงๆ
ท่ามกลางแสงสีฟ้าคลุมเครือ คนคนนี้ยืนตระหง่านเพียงลำพัง ผมยามปลิวไสว อาภรณ์สะบัดปลิว บุคลิกท่วงท่าไม่ธรรมดาประดุจเซียน โดยเฉพาะใบหน้าที่งดงามสง่าและร่างสูงโปร่ง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนทำให้คนรู้สึกว่าสมบูรณ์แบบอย่างหาเทียบไม่ได้
และเขายืนอยู่บนตะปูก็เหมือนว่าวัตถุชิ้นนี้เป็นอาวุธของเขา เขากำลังบังคับมันอยู่
บุคลิกท่วงท่าเช่นนี้ รัศมีอำนาจเช่นนี้ มากพอที่จะทำให้ทุกคนเมื่อเห็น ในใจก็สั่นไหว
“พวกเจ้ารู้สึกหรือไม่ว่า คนคนนี้ค่อนข้างคุ้น…” ฝีเท้านายกองหยุดชะงัก ยืนมองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย เอ่ยพึมพำเสียงต่ำ
หนิงเหยียนอึ้งตะลึง ในดวงตาฉายแววไม่อยากเชื่อ สมองขาวโพลน
อู๋เจี้ยนอูก็อึ้งงงงันไปเช่นกัน ในขณะที่สีหน้าฉายความสับสนงุนงง นายกองก็หยิกหนิงเหยียนไปหนึ่งที ใช้แรงเต็มที่
หนิงเหยียนมองไปอย่างโมโหตามสัญชาตญาณ ส่วนนายกองพบว่าหนิงเหยียนเจ็บก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ภาพลวงตา จึงสูดลมหายใจ ดวงตาฉายประกายแรงกล้า
“เป็นอาชิงน้อยจริงๆ ด้วย!
ขณะเดียวกัน บนท้องฟ้าที่แหลกละเอียด ตะปูขนาดมหึมาดวงนั้นขณะที่มาอย่างรวดเร็ว พลังกดดันซัดไปบนพื้นก่อน
พื้นดินถล่มลงไปเป็นบริเวณกว้าง ชั้นน้ำแข็งยุบ ระเบิดเป็นชั้นๆ
ท้องฟ้ามีก้อนน้ำแข็งร่วงลงมา พื้นดินมีก้อนน้ำแข็งกระจัดกระจาย
ส่วนสวี่ชิงที่ยืนอยู่บนตะปูตอนนี้ในใจความจริงแล้วก็ไม่ได้นิ่งสุขุมเหมือนอย่างที่แสดงออกมาบนใบหน้า ในใจของเขากำลังสั่นสะท้าน ในใจเกิดลมพายุคลั่งพัดกระหน่ำ
พลานุภาพของตะปูดอกนี้น่ากลัวเป็นอย่างยิ่งจริงๆ เขานึกย้อนความทรงจำมาตลอดทาง นับจากเสี้ยวพริบตาแรกที่ตะปูดอกนี้สัมผัสกับที่ราบน้ำแข็งข้างนอก ทุกที่ที่ผ่านชั้นน้ำแข็งถล่มทลายอยู่ตลอด ความคมเหมือนแข็งแกร่งทนทาน ระหว่างทางชั้นน้ำแข็งทั้งหมดแตกละเอียด จวบจนกระทั่งระเบิดมาจนถึงโพรงขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง ลงมาเยือนในเศษเสี้ยวโลกใบใหญ่แห่งนี้
และพาเขามาที่นี่
ในเสี้ยวพริบตาที่มาถึงที่นี่ สวี่ชิงมองเห็นธารน้ำแข็งสีดำมากมายถล่มทลาย และมองเห็นว่ากลางอากาศมีแหล่งกำเนิดแสงที่เหมือนดวงอาทิตย์กลุ่มหนึ่ง เพียงแต่มันหมองหม่นมาก คล้ายว่าไม่เหลือพลังที่จะแผ่แสงความร้อนออกมาสักเท่าไรแล้ว
เขาแปลกใจนัก ในตอนที่คิดว่าทำไมที่นี่จึงมีดวงอาทิตย์ ก็มองเห็นบนพื้นมีเงาร่างเหมือนกระต่ายสามตัว
ในเสี้ยวพริบตานั้น สีหน้าสวี่ชิงเหม่อลอยเหมือนฝัน เกิดรอยแปลกประหลาด


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา