บทที่ 571-2 ตื่นขึ้นเถิด พี่หญิงสามของข้า (2)
บนท้องฟ้า ท่ามกลางฝนเลือด เงาร่างของทั้งสองยืนตระหง่าน
“เผ่าพันธุ์โสโครกไม่จำเป็นต้องมีอยู่ในโลกใบนี้” บุตรีแห่งเจ้าเหนือหัวก้มหน้ามองสำนักเผ่าเงารัตติกาลที่ตื่นตระหนกลนลานผาดหนึ่ง กำหมัดแล้วชกไปผ่านอากาศ
เงาหมัดขนาดมหึมาหมัดหนึ่งปรากฏเหนือเผ่าเงารัตติกาลทันที แล้วซัดลงไปอย่างรวดเร็ว
ขุนเขาสายธารระเบิด แผ่นดินถล่มยุบ สิ่งก่อสร้างทุกอย่างในนั้น สิ่งมีชีวิตทุกอย่างล้วนกลายเป็นเศษเนื้อเละๆ ผสมไปกับหิมะน้ำแข็ง แปรเปลี่ยนเป็นรอยหมัดสีเลือดรอยหนึ่ง
ทำเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว เงาร่างทั้งสองก็แปรเปลี่ยนเป็นรุ้งยาวสองสาย ไปพร้อมด้วยพลังแข็งแกร่งไร้เทียมทาน ไปพร้อมด้วยการบดขยี้ทำลายล้าง ไปพร้อมด้วยความอัดอั้นจากความแค้นอาฆาตที่สะสมในใจมาเนิ่นนานหลายปี พุ่งตรงไปยังที่ราบสำนึกบาป
ที่นั่น เป็นที่ที่กระดูกเสด็จพ่อของพวกเขาอยู่ และเป็นที่ตั้งของตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดสาขาหลัก
ขณะเดียวกัน บนทะเลเพลิงสวรรค์ ท้องฟ้าบิดเบี้ยว มีแสงสีฟ้าทางหนึ่งพุ่งทะลุมิติความว่างเปล่า แสงเพลิงแตกร้าวผ่าม่านฟ้า กะพริบวูบวาบเหนือฟ้าดิน
มองให้ละเอียด นั่นคือตะปูยาวหมื่นจั้งดอกหนึ่ง!
มันมาจากปลายขอบฟ้า เป้าหมายแน่ชัด จับเป้าหมายใต้ทะเลเพลิงสวรรค์ จากนั้นก็เกิดเสียงแสบแก้วหู ระลอกคลื่นทะเลเพลิงซัดโหม ซัดโหมไปในทะเลเพลิงสวรรค์ พุ่งตรงไปยัง…โลงสัมฤทธิ์
เสี้ยวขณะต่อมา ทะเลเพลิงปะทุขึ้นมา หินหนืดมหาศาลหอบม้วน คลื่นเปลวเพลิงพันจั้งคำราม
ตะปูที่ปักลงไปในทะเลดอกนั้นซัดไปบนโลงสัมฤทธิ์ที่อยู่ในส่วนลึกทันที!
พันธนาการพระจันทร์สีชาดหมองหม่น โลงสั่นคลอน เพียงพริบตาก็ส่งเสียงกึกก้องชั้นฟ้า แล้วแหลกละเอียดโดยสมบูรณ์!
เศษชิ้นส่วนนับไม่ถ้วนพุ่งออกไปใต้ทะเลเพลิง พัดกวาดเป็นคลื่นวนขนาดมหึมาลูกแล้วลูกเล่า มองไปไกลๆ พื้นที่บริเวณนี้เกิดดอกไม้ไฟปรากฏขึ้นนับไม่ถ้วน
ร่างยิ่งใหญ่น่าตื่นตะลึงเหมือนกับบุตรีแห่งเจ้าเหนือหัวปรากฏออกมาจากโลงที่พังทลาย
ร่างนี้ผอมแห้ง บนร่างเต็มไปด้วยเส้นเลือด ลมปราณสีฟ้า เหมือนเทือกเขานูนขึ้นมาเป็นลูกๆ แผ่ความเหี้ยมโหดออกมา
ชุดคลุมยาวสีน้ำตาลเก่าเปื่อยคลุมอยู่บนร่างเขา บนนั้นเปื้อนไปด้วยเลือดสดเป็นปื้นๆ ทำให้สีเหลืองส้มแต่เดิม เมื่ออยู่ในวันเวลาอันเนิ่นนานนี้อาบย้อมจนกลายเป็นสีในตอนนี้
ใบหน้าของเขาแห้งเหี่ยว แต่ก็ยากสะกดความหล่อเหลาสง่างาม ดวงตาสีฟ้ายิ่งเป็นเหมือนอัญมณี แผ่พลังที่สะท้านสะเทือนจิตใจคนออกมา สายเลือดของเจ้าเหนือหัว แผ่ระลอกคลื่นออกมาจากร่างของเขาไม่หยุด
สิ่งที่ยิ่งดึงดูดสายตาคนบนร่างของเขาคือเส้นผม นี่เป็นผมยาวสีเทา แผ่สยายอยู่รอบกายของเขา สยายไปรอบๆ ปลายผมโค้งไปข้างบน
เส้นผมทุกเส้นล้วนแปรเปลี่ยนเป็นวิญญาณดวงหนึ่ง กำลังเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า
นี่ก็คือร่างของรัฐทายาทเจ้าเหนือหัว!
เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า
ก้าวเดียวเหยียบย่างออกไปนอกทะเลเพลิงสวรรค์
เขายืนตระหง่านอยู่เหนือท้องฟ้า ผมยาวปลิวพริ้วปกคลุมฟ้าดิน คล้ายเมฆดำกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
“ข้าถือกำเนิดในยามยุครุ่งโรจน์แห่งจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว หลังจากถูกผนึกไว้ยามเทพจำแลงลงมาเยือน วันนี้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในยามยุคต้องประสงค์ตกต่ำ ชั่วชีวิตข้า…ได้เสพสุขกับเกียรติยศความมั่งคั่ง ได้รับทุนที่หมื่นเผ่าล้วนปรารถนา พอแล้ว เพียงพอแล้ว”
เสียงพึมพำประดุจสายอัสนีฟาดผ่า ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมเมฆหอบม้วน ทะเลเพลิงเดือดพล่านซัดโหม ทั่วทั้งแปดทิศสั่นคลอน
“ตอนนี้มีเรื่องที่ยังยึดติดอยู่สองเรื่อง ยากที่จะคลายไปได้ หนึ่งคือแก้คำสาปของไพร่ฟ้าประชาชน สองคือสังหารกายและวิญญาณของอนุชาผู้ทรยศเพื่อล้างความแค้นในใจ!
“ไม่สังหารหลีพั่น ผิดต่อบิดาข้า ผิดต่อประชาชนบ้านเมือง ผิดต่อชีวิตนี้!”
รัฐทายาททอดสายตามองที่ราบสำนึกบาป ดวงตาทั้งสองเย็นเยียบดุดัน ประดุจมีหุบเหวลึกแห่งยมโลกอยู่ในนั้น ก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่ง แหวกมิติ
ฟ้าดินเดือดพล่าน แต่ละชั้นๆ ระเบิด บดขยี้ท้องฟ้าก้าวไป
เพลิงสวรรค์ยากจะสยบ ท้องฟ้าเกิดรอยยับย่น แผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา สรรพชีวิตทั้งหลายต่างหวาดกลัว
ผู้แข็งแกร่งเผ่าต่างๆ ล้วนสัมผัสรับรู้ได้ เงยหน้ามองอย่างหวาดหวั่น ทอดสายตามองที่ราบสำนึกบาป
และที่ราบน้ำแข็งทางเหนือตอนนี้ หลายที่ยุบลงไป ชั้นน้ำแข็งแผ่นใหญ่ๆ แหลกละเอียดยุบลงไปจากบนพื้น ทั่วทั้งผืนแผ่นดินยุบตัวถล่มอย่างรุนแรงเนื่องจากการหายไปของเศษเสี้ยวโลกที่อยู่ใต้พื้น
เป็นสวี่ชิงกับพวกนายกองนั่นเอง
พวกเขากระโดดวิ่งห้อตะบึงอย่างรวดเร็ว จากใต้พื้นดินพุ่งตัวออกไปโลกภายนอก
ข้างหลังของพวกเขา เสียงเลื่อนลั่นสะท้านสะเทือนประดุจเทพเจ้าคำราม ก้อนน้ำแข็งร่วงหล่น แผ่นดินกลายเป็นคลื่นวนถ้ำสีดำ จะกลืนกินวัตถุภายนอกโลกทุกอย่างไปในนั้น
ข้างหน้าของพวกเขา ชั้นน้ำแข็งประดุจคมมีดขนาดมหึมาขรุขระไร้ระเบียบ มาพร้อมสายลมเย็นเยียบพัดผ่านไปจากข้างกายพวกเขาอย่างรวดเร็ว
ดีที่ทั้งสี่เดิมก็ไม่ธรรมดา ตอนนี้ต่างสำแดงวิชา รอบๆ อู๋เจี้ยนอูมีอสูรร้ายมากมายปรากฏตัวขึ้นมาช่วยเขาเบิกทาง ส่วนวิธีของนายกองได้ผสานพลังของหนิงเหยียนเอาไว้ได้อย่างเต็มที่ ใช้อาวุธของอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นค้อนดาวตก แข็งแกร่งเกินต้านทาน
รวมกับพลังกดดันที่แผ่ออกมาจากหนังผืนนั้นก็ยิ่งราบรื่น
ส่วนสวี่ชิง เขายิ่งเรียบง่ายที่สุด ร่างเพียงไหววูบก็แปรเปลี่ยนเป็นพรางมารยา เมื่อกลายเป็นกึ่งโปร่งแสงแล้ว ก็เมินซึ่งทุกสิ่ง
ทั้งสี่ก็เข้าไปใกล้ผืนดินอย่างต่อเนื่องเช่นนี้เอง และระหว่างทางนี้ นายกองก็มองไปทางสวี่ชิงอยู่หลายครั้งอย่างอดไม่ได้ คิดจะพูดอะไรแต่ก็หยุดเอาไว้ สีหน้าแฝงด้วยความอัดอั้น
ในใจของเขาความจริงแล้วยังคงอึ้งตะลึงอยู่นิดๆ การปรากฏตัวและเรื่องที่สวี่ชิงทำทำให้เขามีความรู้สึกเหมือนถูกชิงตัดหน้า
‘ในแผนของข้า การใหญ่เรื่องที่หกหลังจากมาถึงแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราคือเอาตะปูที่หน้าผากบุตรคนที่สามของเจ้าเหนือหัวมาไว้ในมือ จากนั้นการใหญ่เรื่องที่แปดคือปล่อยรัฐทายาทที่อยู่ใต้ทะเลเพลิงสวรรค์ออกมา…
‘แต่อาชิงน้อยแค่ไปทะเลเพลิงสวรรค์รอบเดียวก็…ทำสำเร็จหมดแล้วอย่างนั้นหรือ อีกทั้งยังไม่ได้ทำสำเร็จแค่เล็กๆ น้อยๆ กระทั่งว่าได้โอกาสทำสำเร็จเกินเป้า ช่วยบุตรีคนที่สามของเจ้าเหนือหัวออกมาด้วย
‘จังหวะนี้ไม่ถูก ไม่ใช่ว่าควรเป็นข้าที่พาเขาไปทำการใหญ่หรอกหรือ…’
นายกองมองสวี่ชิงอย่างตัดพ้อผาดหนึ่ง
สิ่งที่ยิ่งทำให้ในใจของเขายิ่งเกิดคลื่นซัดโหมคือสวี่ชิงสุดท้ายยังได้เศษเสี้ยวโลกใบใหญ่มาชิ้นหนึ่งด้วย

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา