เข้าสู่ระบบผ่าน

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา นิยาย บท 572

บทที่ 572 ทัณฑ์สวรรค์ดับวิญญาณ หนิวเอ๋อร์กลับมาแล้ว (1)

ที่ศูนย์กลางแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่แห่งหนึ่ง ชื่อว่าที่ราบสำนึกบาป

ความศักดิ์สิทธิ์ในกาลก่อน เพราะที่นั่นคือวังจักรพรรดิของเจ้าเหนือหัวดินแดนนี้

ความศักดิ์สิทธิ์ในยามนี้ เพราะเป็นที่ตั้งของสาขาหลักตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด

แม้จะเรียกว่าที่ราบ ทว่าความจริงแล้วเป็นเกาะในแผ่นดินใหญ่ที่มีทะเลเลือดสรรพชีวิตห้อมล้อม แต่อาณาเขตของมันก็กว้างใหญ่ไพศาลเทียบเท่าเขตปกครองแห่งหนึ่งได้

บนที่ราบสำนึกบาป มีรูปปั้นที่กำลังคุกเข่าอยู่ซึ่งสูงเกินกว่าภูเขาทั้งหมดในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ราวกับสูงเท่าฟ้าดินรวมกัน ยิ่งใหญ่น่าตื่นตะลึง

นี่ คือเจ้าเหนือหัวแผ่นดินใหญ่ในอดีต

ต่อให้จะตายไปแล้ว แต่ยังคงมีแรงกดดันน่าครั่นคร้ามปะทุคุกรุ่นปกคลุมไปทั่วสารทิศ ส่วนเหนือศีรษะมัน ก็มีตำหนักรูปทรงกวานขนาดยักษ์อีกแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่

ตำหนักสีชาดนี้เปนดั่งโซ่ปิดผนึกที่คอยสะกดที่แห่งนี้ไว้ ทำให้หัวเข่าของรูปปั้นเจ้าเหนือหัว จมลงเล็กน้อยทุกปี

ที่แห่งนี้ คือสาขาหลักของตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด

ส่วนรูปปั้นรอบๆ ก็ห้อมล้อมตำหนักเทพที่สร้างไว้ในที่แห่งนี้นับไม่ถ้วน ผู้บำเพ็ญที่สัญจรไปมาสวมชุดคลุมยาวสีชาด ทุกคนสงบเงียบมาก ไร้ซึ่งเสียงใด

เพราะ บุตรเทวะไม่ชอบเสียงดัง

ทว่าวันนี้ สายรุ้งยาวสองสาย หวีดหวิวมาจากแดนเหนือและแดนตะวันออก ตัดผ่านท้องนภาดั่งดาบคม สยบความเงียบงัน เสียงครืนครันดังมายังที่แห่งนี้

สายรุ้งยาวแดนเหนือ มาพร้อมด้วยกลิ่นอายความตายมหาศาล จำแลงกายเป็นลูกสาวเจ้าเหนือหัวในชุดเกราะทั้งตัว

ส่วนเงาจากแดนตะวันออก โหมลมพายุไร้ที่สิ้นสุด ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี รวมตัวกันเป็นร่างในชุดคลุมสีน้ำตาล

พลังอำนาจกลืนกินภูเขาแม่น้ำ ปะทุขึ้นมาจากร่างสองร่างนี้อย่างน่าตกตะลึง ทุกที่ที่แล่นผ่านท้องนภากลายเป็นริ้วๆ ความว่างเปล่าแตกร้าว

กลิ่นอายน่าสะพรึงพร้อมเจตจำนงทำลายล้างโลก พริบตาที่มาเยือน เสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งก็ดังแผ่วเบาออกมาจากตำหนักเทพเหนือศีรษะรูปปั้นเจ้าเหนือหัว

“ท่านพี่รัฐทายาท แล้วก็พี่หญิงสามสุดที่รักของข้า ที่พวกท่านหลุดจากพันธนาการมาได้ทำให้ข้ารู้สึกเกินคาดยิ่ง”

เงาสีชาดร่างหนึ่งเดินออกมาจากในตำหนักเทพเทวรูปพร้อมคำเอื้อนเอ่ยที่ดังกึกก้อง

การปรากฏตัวของเขา ท้องฟ้าเปลี่ยนสี แสงมงคลสาดส่อง เปล่งประกายเจิดจ้า แสงสว่างโชติช่วงมหาศาลสาดออกมาจากร่างเขา ปกคลุมโลกทั้งใบ

เมื่อเขาก้าวเดินหนึ่งก้าวกลางอากาศ ฟ้าดินเลือนราง สรรพสิ่งบิดเบี้ยว เผชิญหน้ากับพี่น้องทางสายเลือดที่มาถึง

ตอนที่มองหน้ากัน ร่างที่น่าตกตะลึงทั้งสามก็สำแดงโลกของแต่ละคนออกมาปะทะกันจนรางเลือนไปหมด

การต่อสู้ระหว่างพวกเขา ระดับขั้นสูงเพียงใดเป็นสิ่งที่สรรพชีวิตไม่สามารถสัมผัสรับรู้ได้ ผู้คนบนพื้นเห็นเพียงฟากฟ้าปั่นป่วน ตะวันจันทราแม่น้ำดาราปรากฏขึ้นพร้อมกัน

ดังนั้นผู้บำเพ็ญตำหนักเทพนับไม่ถ้วนจึงพากันก้มหน้า สีหน้าเลื่อมใสศรัทธา ทุกคนกราบไหว้สักการะ เสียงพึมพำจากปากดังขึ้นพร้อมกัน

“จันทราสีชาดนายข้า นำไปสู่ต้องประสงค์ สรรพชีวิตทุกข์ทน ได้รับความสุขสงบ”

เสียงนี้ประดุจบทเพลง ลอยแผ่วไปทั้งฟ้าดิน

ส่วนสงครามเทพที่อุบัติขึ้นในที่ราบสำนึกบาปนี้ สุดท้ายผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรไม่มีผู้ใดรู้ ทว่าคลื่นพลังที่แผ่ออกมาจากศึกนี้ ปกคลุมแผ่นฟ้าทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา

ราวกับเพลิงสวรรค์แล่นผ่านฟ้า ส่งผลกระทบกับกฎเกณฑ์ ทำให้กฎเกณฑ์ปั่นป่วน

สรรพชีวิตในช่วงเวลานี้ไม่อาจทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าได้ กระทั่งดวงตะวันที่พวกสวี่ชิงอยู่ หลังจากลอยไปใกล้ชายแดนด้านตะวันตก ก็ลดลงต่ำอย่างรวดเร็ว

สุดท้ายนายกองก็เก็บกลับไป ทั้งสี่ต้องร่อนลงมาบนพื้น ยืนอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง

เหยียบอยู่บนหินภูเขา นายกองกับสวี่ชิงเงยหน้ามองไปไกลๆ อู๋เจี้ยนอูตื่นตระหนกตกใจ สีหน้าหนิงเหยียนก็เคร่งขรึม

ครู่ต่อมา นายกองมองไปทางสวี่ชิง สายตาทั้งสองประสานกัน

“พวกเขาเปิดศึกแล้ว” สวี่ชิงเอ่ยอย่างสงบ

นายกองส่ายศีรษะ หลังจากวิจารณ์เสร็จก็หยิบลูกท้อผลหนึ่งออกมากัด

“แต่สำหรับพวกเราก็หาใช่เรื่องไม่ดีอะไร เพียงแต่เรื่องในตอนนี้พวกเขาเข้าร่วมด้วยไม่ได้ ทำตามแผนการพวกเราต่อเถอะ

“อาชิงน้อย จากนี้เป็นพื้นที่ของข้าศิษย์พี่ใหญ่เจ้าแล้วนะ เจ้าพร้อมหรือไม่”

สำหรับนายกอง สิ่งที่สำคัญที่สุดเวลานี้ไม่ใช่การต่อสู้ที่เกิดขึ้นที่ตำหนักเทพ แต่เป็นการที่พวกเขาต้องไปยังเขาวัวสวรรค์มิรู้สิ้น

เขาเตรียมให้สวี่ชิงได้เห็นความรุ่งโรจน์ในอดีตของเขาที่นั่น

สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ ตลอดทางมานี้อีกฝ่ายพูดมาเจ็ดแปดครั้งแล้ว

เห็นว่าสวี่ชิงไม่เล่นด้วย นายกองจึงโยนผิงกั่วไปให้ สวี่ชิงรับไว้ หลังจากกัดคำหนึ่ง ใบหน้าก็ฉายแววคาดหวังออกมา

นายกองพอใจทันที

อู๋เจี้ยนอูกับหนิงเหยียนที่อยู่ข้างๆ มองดู ต่างฝ่ายต่างถอนหายใจ ก่อนหน้านี้ที่สวี่ชิงไม่อยู่ พวกเขาไม่เคยได้กินผลไม้ของนายกองเลย ตอนนี้ถึงสวี่ชิงจะอยู่ พวกเขาก็ยังไม่ได้กินอยู่ดี

“ไปกันเถอะ!” นายกองภาคภูมิใจ กำลังจะเดินหน้าต่อ

สวี่ชิงชะงักฝีเท้า เงยหน้ามองท้องฟ้า จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า

“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านว่าหากอัญเชิญทัณฑ์สวรรค์มาตอนนี้จะเป็นอย่างไร”

นายกองเข้าใจสิ่งที่สวี่ชิงจะสื่อทันที หลังจากกวาดตามองอู๋เจี้ยนอูกับหนิงเหยียน เขาก็เปล่งเสียงออกมา

“ปราณก่อกำเนิดพระจันทร์สีม่วงของเจ้ารึ”

สวี่ชิงพยักหน้า ปราณก่อกำเนิดทั้งหมดของเขาหลังจากผ่านเรื่องในที่ราบน้ำแข็งแดนเหนือ ก็มาถึงหนึ่งทัณฑ์ขั้นบริบูรณ์แล้ว

นายกองครุ่นคิด หลังจากมองท้องฟ้าก็ยิ้มออกมา

“ความคิดของศิษย์น้องน่าสนใจ เนื่องจากการต่อสู้ที่เหนือกว่ากฎเกณฑ์อุบัติขึ้นในแผ่นดินใหญ่นี้ ดังนั้นกฎเกณฑ์ฟ้าดินจึงโกลาหล เรื่องนี้เห็นได้บ่อยครั้ง และถ้าอัญเชิญทัณฑ์สวรรค์ตอนนี้ อาจจะเกิดสถานการณ์สองอย่าง

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา