บทที่ 6 เด็กน้อย
ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณใหญ่มาก
ถ้าหากมองลงมาจากฟ้าสูง จะเห็นรูปร่างของมันเป็นวงรีที่ดูไม่ค่อยเป็นทรงนักวงหนึ่ง รอบด้านถูกล้อมด้วยมหาสมุทร
แม้จะห่างจากแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ คั่นไว้ด้วยมหาสมุทรสุดลูกหูลูกตา ดูแล้วคล้ายกับเกาะ แต่ความกว้างของอาณาเขตกว้างใหญ่ขนาดที่ว่าคนมากมายเดินกันทั้งชีวิตก็ยังเดินไม่ทั่ว
เพียงแต่พื้นที่ส่วนใหญ่ของมัน เผ่ามนุษย์เดินย่ำเท้าเข้าไปได้ยากลำบากเพราะเทือกเขาสัจธรรมพาดเฉียงขวางทั้งทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณเอาไว้
ส่วนทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเทือกเขาสัจธรรมเป็นพื้นที่ต้องห้ามขนาดใหญ่โตมากแห่งหนึ่ง
ที่นั่นกินพื้นที่ของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณไปกว่าเจ็ดส่วน มีเพียงพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือของเทือกเขาสัจธรรมเท่านั้น ที่ยังเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของเผ่ามนุษย์
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เผ่ามนุษย์ก็มีจำนวนไม่น้อยเลย
ในพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือมีเมืองน้อยใหญ่ตั้งอยู่แน่นขนัดราวกับดวงดารา มีทั้งที่แข็งแกร่งและมีทั้งที่สร้างอย่างเรียบง่าย
แต่การก่อตั้งของเมืองเหล่านี้ ล้วนหลีกเลี่ยงพื้นที่ต้องห้ามขนาดเล็กหลายๆ แห่งในพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือ
ภายในสถานการณ์ที่มีทางเลือกเช่นนี้ ย่อมไม่มีใครยอมใช้ชีวิตอยู่รอบๆ พื้นที่ต้องห้ามอยู่แล้ว ช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตในนั้นจะมีอันตรายเข้ามาหาได้ตลอดเวลา มีเพียงพวกไม่กลัวตายเท่านั้นที่จะไปใช้ชีวิตรวมตัวกันในนั้นอย่างจำใจ คอยอิจฉาริษยา เลียใบมีดและดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด
จึงกลายมาเป็นฐานที่มั่นคนเก็บกวาด และรอบด้านของพื้นที่ต้องห้ามแทบจะทุกที่ก็จะปรากฏฐานที่มั่นเช่นนี้ มองไปทั้งดินแดนเผ่ามนุษย์ มีจำนวนฐานที่มั่นคนเก็บกวาดประสมประเสกันอย่างมาก
สิ่งที่สะท้อนในดวงตาสวี่ชิงเมื่อยืนอยู่บนยอดเขาเวลานี้ก็คือฐานที่มั่นแห่งหนึ่ง
มองไกลๆ ฐานที่มั่นไม่ได้ใหญ่โตนัก ด้านในก็มีคนราวๆ นับร้อยคนพักอาศัยอยู่
บางทีอาจเพราะยังเช้าตรู่ ควันจางๆ จากครัว ถึงแม้จะไม่ได้วุ่นวายเหมือนในเมือง แต่ก็ดูคึกคักอย่างมาก
เสียงตะโกน เสียงก่นด่า เสียงเรียกลูกค้า รวมไปถึงเสียงหัวเราะอย่างไม่เกรงกลัวใครผสมปนเปอยู่ด้วยกัน ดังลอดมาแต่ไกล
เพียงแต่ที่พักที่ว่ามีมูลค่าจากปากของหัวหน้าเหลย ดูจากภายในออกไปภายนอก โครงสร้างเรียบง่าย รอบนอกสุดหลักๆ ก็เป็นเพียงกระโจมเท่านั้น
ส่วนด้านหลังฐานที่มั่นไม่ห่างไปนัก กลับเป็นผืนป่าดำสนิท
ที่นั่นมีปราณหมอกลอยวนอยู่ ราวกับปิดบังตัวตนน่ากลัวบางอย่างเอาไว้
ต่อให้เป็นแสงแดดเข้มข้นตอนกลางวันก็ยังไม่สามารถสาดส่องเข้าไปได้ทั้งหมด ราวกับมีทวยเทพปีศาจอยู่ด้านใน สั่นสะเทือนไปทั่วทิศอย่างเย็นชา
และคล้ายกับเป็นจุดกลายพันธุ์สีดำบนตัวมนุษย์ ขณะที่สร้างความสะพรึงกลัว ก็ยังแบ่งแยกกับบริเวณอื่นอย่างชัดเจน
“หลังจากเห็นแล้วรู้สึกอย่างไร” บนยอดเขา หัวหน้าเหลยเอ่ยถาม
“ไม่ค่อยต่างกับถ้ำยาจกเลย” สวี่ชิงคิดแล้วตอบกลับตามจริง
หัวหน้าเหลยยิ้ม ไม่พูดอะไร เดินต่อไปด้านหน้า
สวี่ชิงหันเหสายตากลับมา เดินตามหลังหัวหน้าเหลย ทั้งสองคนลงจากเขา เข้าใกล้ฐานที่มั่นมากขึ้นเรื่อยๆ
ระหว่างทางยังพบกับคนที่กลับมาจากด้านนอกอีกพอสมควร ล้วนสวมเสื้อขนสัตว์สีเทาเข้มเป็นหลักแบบเดียวกัน
สวี่ชิงสังเกตเห็น เมื่อคนพวกนี้เห็นหัวหน้าเหลย สีหน้าแต่ละคนก็เผยความเคารพศรัทธาออกมา สายตาแฝงความอยากรู้อยากเห็นกวาดมายังตัวเอง
สิ่งนี้ทำให้สวี่ชิงคาดเดาฐานะของหัวหน้าเหลยได้มากขึ้น
เช่นนี้ เมื่อผ่านช่วงสายไปหน่อย สวี่ชิงก็ตามหัวหน้าเหลยเดินมาจนถึงที่ราบใต้ภูเขา เดินเข้าไปในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดแห่งนี้
ฐานที่มั่นไม่มีกำแพงล้อม พื้นดินก็ดูระเกะระกะ ฝุ่นดินฟุ้งกระจายปลิวว่อน ใบไม้เน่ากับขยะมองเห็นได้ทั่ว ให้ความรู้สึกเละเทะไม่เป็นระเบียบ
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเดินเข้ามา เสียงที่ได้ยินบนภูเขาก่อนหน้าก็ยิ่งดังลอดเข้ามาในหูชัดเจนยิ่งขึ้น
สิ่งที่สะท้อนเข้ามาในม่านตานอกจากสิ่งปลูกสร้างที่เรียบง่ายแต่ละหลังแล้ว ยังมีคนเก็บกวาดมากมายอยู่อีก
มีทั้งคนที่ร่างใหญ่ล่ำสันเหมือนกับกระทิงโฉด มีทั้งคนที่ผอมเหมือนท่อนฟืน มีทั้งคนที่แก่หง่อมจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้นแต่กลับไม่มีใครกล้าเข้าไปยั่วโมโห
ยังมีเด็กหนุ่มบางส่วนที่เหมือนกับเขา หดตัวอยู่ในมุม จ้องมองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย
ส่วนหนึ่งในนั้น มีร่างกายที่พิการ
ด้านในยังมีคนอีกไม่น้อย สวี่ชิงหลังจากที่เห็นก็หลุบสายตาลงมาเล็กน้อย กลิ่นอายบนตัวคนเหล่านั้น ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นของพลังวิญญาณ
คนมากมายหลายประเภท บ้างกำลังค้าขาย บ้างกำลังทะเลาะเบาะแว้ง บ้างกำลังนอนตากแดดอยู่บนหิน
และยังมีส่วนหนึ่งถือกางเกงเดินออกมาจากกระโจมที่แขวนขนนกสีสันสดใส สีหน้าไม่พออกพอใจ
สวี่ชิงเดินตามหัวหน้าเหลยเข้าไปในฐานที่มั่น จากสายตาที่คนนอกเห็น ดูเหมือนเดินเข้าไปในนรก
แต่นอกจากความระแวดระวังในใจเขาก็ไม่มีอะไรอื่นอีก กระทั่งยังมีความรู้สึกที่คุ้นเคยอยู่รางๆ อีกด้วย
“คล้ายกับในถ้ำยาจกจริงๆ” สวี่ชิงงึมงำ สายตากวาดไปยังกระโจมที่มีขนนกแขวนอยู่ มองเห็นเงาที่เหมือนเป็นดอกไม้สีขาวอยู่ด้านใน
กระทั่งในกระโจมหลังหนึ่ง ยังมีหญิงสาววัยรุ่นแต่งตัวโป๊ครึ่งท่อนคนหนึ่งเดินออกมาด้วยอาการเกียจคร้าน ยิ้มกวักมือมาทางสวี่ชิง
“อย่ามองมั่วซั่ว” หัวหน้าเหลยกวาดตามองสวี่ชิงผาดหนึ่ง
“ข้ารู้ว่าที่นั่นเป็นสถานที่แบบใด” สวี่ชิงเบนสายตากลับมา เอ่ยตอบกลับ
รอยยิ้มบนใบหน้าหัวหน้าเหลยมีรอยย่นมากองกัน ไม่พูดอะไร พาสวี่ชิงเดินเข้าไปในฐานที่มั่นจนมาถึงสถานที่เป้าหมาย
นั่นเป็นสิ่งปลูกสร้างจากไม้ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางฐานที่มั่น ลักษณะวงกลมเหมือนลานประลองสัตว์
ตลอดทางสวี่ชิงเอาแต่สังเกต ในหัววาดร่างแผนที่ของฐานที่มั่นนี้ไปกว่าครึ่งแล้ว
นี่คือความเคยชินของเขา หลายครั้งที่ความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม มักจะสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่อันตรายได้
เวลานี้เขาเงยหน้ามองสิ่งปลูกสร้างที่เหมือนลานประลองสัตว์ตรงหน้า สังเกตว่าด้านในนอกจากมีลานขนาดใหญ่แล้ว วงในยังมีเก้าอี้ยาวเรียบง่ายอยู่อีกหลายตัว
นอกเหนือจากนี้ ยังมีเสียงคำรามของสัตว์ร้ายดังลอดออกมาเป็นระยะจากด้านในสิ่งปลูกสร้างอีกด้วย
รอบด้านยังมีห้องแถวคล้ายเพิงไม้อยู่อีกจำนวนหนึ่ง ด้านในมีคนเก็บกวาดในชุดสะอาดสะอ้านเล็กน้อยส่วนหนึ่งยืนอยู่ด้านนอกห้องแถวพูดคุยหยอกล้อกัน
เพราะการมาถึงของหัวหน้าเหลย มีชายกลางคนผอมแห้งคนหนึ่งเดินโซซัดโซเซออกมาจากด้านในลานประลองสัตว์
คนผู้นี้สวมเสื้อแขนยาวที่แตกต่างจากคนเก็บกวาด ใบหน้ามีหนวดทรงปรกรากไทร บนตัวยังมีคลื่นพลังวิญญาณด้วยเช่นกัน เมื่อมาถึงก็พูดกวาดตามองสวี่ชิงอย่างขอไปที จากนั้นก็มองไปทางหัวหน้าเหลย
“คนใหม่?”
“รู้กฎเกณฑ์ดีแล้ว” หัวหน้าเหลยเอ่ยขึ้นแช่มช้า
“ชื่ออะไร” หนวดปรกรากไทรถามขึ้นส่งๆ
“ก็แค่เด็กคนหนึ่ง จะไปมีชื่อได้อย่างไร เรียกว่าเด็กน้อยแล้วกัน” หัวหน้าเหลยตอบเสียงเรียบ

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา