บทที่ 607 บรรพจารย์เผ่าคุ้มครองวายุที่มั่นใจเสียเต็มประดา
เผ่าคุ้มครองวายุอยู่ในทะเลทรายครามลึกลับเป็นอย่างยิ่ง
เผ่านี้ปกติแล้วน้อยมากที่คนในเผ่าจะเดินทางออกมาข้างนอก สำหรับผู้บำเพ็ญทะเลทรายครามแล้ว ส่วนมากล้วนเคยได้ยิน คนที่เคยพบเห็นจริงๆ มีไม่มาก
มีเพียงสภาพแวดล้อมของทะเลทรายครามถูกพลังจากภายนอกทำลายเป็นบริเวณกว้าง เผ่านี้ถึงจะปรากฏตัวออกมาด้วยท่าทีที่ปกป้องทะเลทราย ขัดขวางและทำการแก้ไข
และวิธีของพวกเขาก็แปลกประหลาดนัก มีพลังโบราณมากมาย ต่อให้เป็นระดับหวนสู่อนัตตาเมื่อเผชิญหน้าด้วยก็ยังต้องปวดหัว
ดังนั้นเมื่อนานไป ผู้คนก็ใช้คำว่าปกป้องทะเลทรายมาเรียกเผ่านี้
แต่ความจริงในเผ่าของพวกเขาเรียกตัวเองว่าคุ้มครองวายุ
ที่คุ้มครองไม่ใช่ทะเลทราย แต่เป็นลมในทะเลทรายผืนนี้
เหตุที่ขัดขวางการทำลายสภาพแวดล้อมทะเลทรายก็เพราะการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมจะส่งผลต่อการมาเยือนของลม
ดังนั้นทุกครั้งที่ลมครามเปลี่ยนสี ในลมทรายขาวท่วมฟ้าที่ตลบอวลไปทั่ว เงาร่างของเผ่านี้ก็จะปรากฏขึ้น เหมือนว่ามาต้อนรับ และเหมือนว่ามาตามหาร่องรอยของลม
ส่วนเหตุผลก็ได้หายไปในประวัติศาสตร์แล้ว คนนอกแทบจะไม่รู้ ดังนั้นเผ่าคุ้มครองวายุอยู่ในทะเลทรายครามผืนนี้ก็เปลี่ยนมาพิเศษยิ่งนัก
และประกาศจับสวี่ชิงของพวกเขาในตอนนั้นก็ทำให้เกิดความแตกตื่นฮือฮาไม่น้อยเลย เผ่านี้รับปากว่า ใครผู้ใดที่มอบเบาะแสจะได้รับป้ายของเผ่าพวกเขา
ผู้ครองป้ายนี้ ในยามที่ลมขาวมาเยือนจะหลบเลี่ยงความตายได้
การมอบรางวัลนี้มากพอจะทำให้ผู้คนเก่งกาจมากความสามารถมากมายหวั่นไหว
และสวี่ชิงวันนั้นแม้จะปิดบังอำพรางลงมือ แต่ในโลกนี้คนเก่งกาจมีไม่น้อย สุดท้ายแล้วก็ยังมีคนใช้วิชาที่ไม่รู้จักบางอย่าง อนุมานร่องรอยออกมาได้
ดังนั้นแล้วจึงมีการออกเคลื่อนไหวของเผ่าคุ้มครองวายุครั้งนี้
เพื่อทำให้ความน่าเกรงขามของเผ่าแสดงออกอย่างเด่นชัด เผ่านี้ย่อมไม่ยอมลงมืออย่างลับๆ แน่นอน พวกเขาเลือกที่จะเคลื่อนไหวอย่างเอิกเกริก รัศมีอำนาจท่วมท้น
ทุกอย่างนี้ทำให้ขั้วอำนาจไม่น้อยในเทือกเขาทนทุกข์สัมผัสได้ โดยเฉพาะสำนักฝ่ายต่างๆ ที่อยู่รอบๆ เมืองดินยิ่งสัมผัสได้อย่างลึกซึ้ง ไม่กวาดประสามสัมผัสเทพมา ก็เข้ามาใกล้เมืองดิน
ตอนนี้พวกเขามองเงาร่างลมทรายที่เปลี่ยนเป็นสีขาวรางเลือนในฟ้าดิน ก็ต่างสูดลมหายใจ
“ลมครามเปลี่ยนสีเพราะเงาขาว นี่เป็นเผ่าพันธุ์ลึกลับในทะเลทรายที่ปรากฏตัวในลมขาวเผ่านั้น!”
“ข้าเคยได้ยินว่าเผ่านี้…ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ประกาศจับออกมา”
“เหมือนว่าจะมีคนขโมยวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพวกเขาไป…”
“ท่าทางคนขโมยจะซ่อนตัวอยู่ในเมืองดินแห่งนั้นกระมัง”
เงาร่างผู้บำเพ็ญแต่ละร่างๆ ปรากฏตัวอยู่รอบๆ เมืองดิน แต่ละคนใจจดใจจ่อ สีหน้ามีบางคนที่หวาดกลัว บางคนหัวเราะเสียงเย็น และมีบางคนที่มีความคิดอย่างอื่นเกิดขึ้น
“เจ้าโจรนี่ตายแน่ ทำอะไรไม่ทำ ไปแหย่เผ่าคุ้มครองวายุเสียได้”
“ข้าเคยอ่านคำบรรยายเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์นี้ในตำราบางเล่ม ว่ากันว่าพวกเขาแต่ละคนล้วนเหี้ยมโหดเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งลงมือทำเรื่องราวก็แข็งกร้าวเป็นอย่างมาก”
“แต่ได้ยินมาว่าพวกเขารวยมากใช่หรือไม่”
ท่ามกลางเงาร่างมากมายและการจับจ้องใจจดใจจ่อ เมืองดินที่อยู่ในเวลากลางดึกเงียบสงัด พลังกดดันและลมขาวครามบนท้องฟ้าพัดกรีดหวีดมาอยู่ตลอด เกิดเป็นความกดดันไปตามสัญชาตญาณของชีวิต ปกคลุมไปในจิตใจของมู่เต้าจื่อและผู้ใต้บัญชาของเขาที่ปลอมตัวแสดงเป็นประชาชนพวกนั้น
ผู้บำเพ็ญระดับต่ำเหล่านี้แต่ละคนตัวสั่นงันงก อยู่ในห้องไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย
เพียงร้านยาในเมืองดิน ท่ามกลางราตรีมืดจุดไฟเอาไว้ กลายเป็นสถานที่อบอุ่นเพียงแห่งเดียวในเมืองดินแห่งนี้
ตอนนี้ในร้านยา หนิงเหยียนเช็ดพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก หลี่โหยวเฝ่ยเงยหน้ามองไปยังโลกภายนอก ไม่สนใจแม้แต่น้อย ลงมือช่วยหนิงเหยียน
ส่วนอู๋เจี้ยนอูนอนแผ่หราอยู่ตรงที่ไกลๆ ดวงตาทั้งสองปิดสนิท กำลังขบคิดกลอนบทใหม่ในตอนเปิดร้านพรุ่งนี้
หลิงเอ๋อร์ก้มหน้าอยู่ทางโต๊ะรับแขกทางนั้น ดีดลูกคิดป๊อกแป๊ก กำลังคำนวณรายได้ของวันนี้ ประเดี๋ยวๆ ก็หยุดมือ จดบันทึก ดูจากสีหน้าของนาง นางมีความสุขอยู่ในนั้น
นายกองยืนอยู่ข้างประดูเหมือนทวารบาล เขาสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ข้างนอกเช่นกัน แต่เทียบกันแล้ว จ้องโยวจิงทำงานถึงจะเป็นความสุขของเขาในตอนนี้ จึงจ้องโยวจิงที่ต้มน้ำอยู่นิ่งไม่ไหวติง
โยวจิงถูกมองจนขนลุก หันกลับมามองเฉินเอ้อร์หนิวอย่างโมโห
“ทำงานให้ดีๆ ไม่อย่างนั้นข้าจะเรียกสามีของเจ้าออกมา!” นายกองถลึงตาใส่
โยวจิงร่างสะท้านเฮือก นึกถึงก่อนหน้านี้ตัวเองคลอเคลียกับสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียดขนาดนั้น ในใจของนางก็เกิดคลื่นซัดถาโถม
ตอนนี้ในดวงตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร จ้องเฉินเอ้อร์หนิวตาไม่กะพริบ ในใจของนาง ความเกลียดชังเฉินเอ้อร์หนิวเกินทุกคนไปหมด เปรียบเทียบกัน นางไม่ได้แค้นสวี่ชิงอะไรขนาดนั้นแล้ว ทั้งหมดรวมมาที่เฉินเอ้อร์หนิว
“มองอะไร ทุกวันรู้แต่จะแอบอู้ น้ำเดือดแล้ว ยังไม่รีบไปชงชาให้ท่านปู่อีก!” นายกองแค่นเสียงขึ้นจมูกขึ้นมา
โยวจิงกัดฟันกรอด แต่ก็จำต้องดึงสายตากลับมา ยกกาน้ำชาเดินมาทางรัฐทายาทที่กำลังนั่งห่างสังเกตเจ้าต้นอ่อนน้อยอยู่ไม่ไกล ในตอนที่เข้ามาใกล้ นางสะกดอารมณ์ทุกอย่างไปตามสัญชาตญาณ เปลี่ยนมาเรียบร้อยเชื่อฟัง เดินมาอย่างแผ่วเบา เริ่มชงชา
นายกองเห็นภาพนี้ในใจหัวเราะอย่างหยิ่งทะนง กำลังจะเอ่ยปาก แต่ในตอนนี้เอง ที่ประตูร้านยาก็มีเสียงเคาะดังมา
อู๋เจี้ยนอู่ขมวดคิ้ว เสียงนี้รบกวนความคิดของเขา จึงสะบัดมือเปิดประตู มองไปอย่างรำคาญ
“ท่านปรมาจารย์!”
จากการเปิดออกของประตูร้านยา เงาร่างของเฉินฝานจัวก็พุ่งเข้ามาอย่างเร็วรี่ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ในดวงตาเต็มไปด้วยความร้อนรน ทันทีที่เข้ามาก็รีบโค้งคารวะรอบๆ จากนั้นก็มองไปที่ห้องข้างหลัง เอ่ยเสียงดัง

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา