บทที่ 613 เจ้ากับข้ายังคงเดินทางเดียวกัน
ในกลุ่มคน ปรมาจารย์เซิ่งลั่วยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น ได้ยินเสียงกู่ก้องของผู้คนรอบๆ ใจลอยไปชั่วขณะ
“คลาย…คำสาปลงได้จริงๆ หรือ”
เซิ่งลั่วพึมพำ รู้สึกไม่ยินยอมอย่างรุนแรง ต่อให้มาถึงตอนนี้ แม้ว่ารองเจ้าตำหนักสี่จะพิสูจน์ยืนยันไปแล้วก็ตาม แต่เขายังคงไม่ค่อยอยากเชื่ออยู่ดี
เพราะนับตั้งแต่โบราณมา ยังไม่มีใครทำได้ถึงจุดนี้
ส่วนที่เขาสามารถปรับปรุงลูกกลอนบรรเทาทุกข์ได้ เดิมนี่ก็เป็นเรื่องยากมากอยู่แล้ว เขาใช้เวลาไปกว่าครึ่งชีวิต ยิ่งศึกษาคัมภีร์และเอกสารคำสาปโบราณที่คนเก่าคนแก่สืบทอดกันมาหลายต่อหลายคน ถึงทำได้
และยิ่งรู้เรื่องคำสาป เขาก็ยิ่งเข้าใจว่าหากอยากลดปริมาณลงตลอดกาล มีเพียงปาฏิหารย์เท่านั้นที่ทำได้!
ตอนที่เซิ่งลั่วใจปั่นป่วน ตาทั้งคู่แดงก่ำเล็กน้อย สวี่ชิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก ก็มองเขาผาดหนึ่ง ยกมือขวาขึ้นโบก ลูกกลอนคลายคำสาปเม็ดหนึ่งพุ่งมาหาเซิ่งลั่ว
เซิ่งลั่วอึ้งตะลึง รับตามสัญชาตญาณ มองไปทางสวี่ชิง
คนอื่นก็พากันมองกันมา ความคิดต่างกันไป โดยเฉพาะพวกผู้ติดตามเหล่านั้นของปรมาจารย์เซิ่งลั่ว เวลานี้ในใจขมขื่น พวกเขาทราบดี จากนี้เกรงว่าคงได้รับคำพูดที่ทำให้รู้สึกอัปยศอดสูอีกไม่น้อย
แต่สวี่ชิงไม่ได้ทำ
เขามองเซิ่งลั่วอย่างเฉยเมย เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ปรมาจารย์เซิ่งลั่ว ท่านและข้าล้วนเป็นผู้บำเพ็ญวิถีลูกกลอน ดังนั้นต่างสามารถทำเข้าใจแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราได้มากขึ้น พวกเราที่เป็นผู้บำเพ็ญวิถีลูกกลอน ล้วนมีความฝันอยู่ในใจ
“ขณะที่ผู้อื่นฝึกบำเพ็ญ พวกเราก็กำลังศึกษาคำสาป ขณะที่คนอื่นกำลังมีความสุข พวกเราก็กำลังศึกษาเอกสาร เพราะพวกเราอยากจะคลายคำสาป ต่อให้คลายไม่ได้ ก็ยังต้องบันทึกการศึกษาของตนเอง ส่งต่อให้กับคนรุ่นหลัง ฝากความหวังฝากไว้กับภายภาคหน้า
“นี่คือภารกิจของผู้บำเพ็ญลูกกลอนในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา”
ดวงตาสวี่ชิงเปล่งประกาย อันที่จริงเขาเข้าใจเซิ่งลั่ว ในคำพูดนี้ไม่ได้แฝงการประชดประชันแต่อย่างใด
จิตใจเขาวันนี้โหมระลอกคลื่นขึ้นมาหลายครั้ง แรกเริ่มคือหยิ่งทะนง ถัดมาคือสั่นสะเทือน จากนั้นก็สงสัยและไม่ยินยอมอย่างแรงกล้า ทว่าตอนนี้…ความรู้สึกเหล่านั้นผสานกัน กลายเป็นความซับซ้อนที่เข้มข้น
เพราะคำพูดของสวี่ชิง พูดสิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจออกมา
เขาชอบเกียรติยศชื่อเสียงก็จริง แต่เบื้องหลังความชอบนี้ เขาก็มีความฝันของตัวเองเช่นกัน
“ปรมาจารย์เซิ่งลั่ว ข้ามอบลูกกลอนนี้ให้ท่าน หนทางในการคลายคำสาป ข้าเพียงคนเดียวยากจะเดินไปให้ถึงปลายทาง พวกเรามาร่วมแรงร่วมใจกัน…”
สวี่ชิงประสานหมัด โค้งคารวะ
เซิ่งลั่วสัมผัสได้ถึงความจริงใจของสวี่ชิง ความจริงใจนี้ทำให้เขารู้สึกซับซ้อน อารมณ์พลุ่งพล่าน เกิดความละอาย ส่วนผู้ติดตามรอบๆ ทุกคนก็รู้สึกสะท้อนใจ ความรู้สึกมากมายในใจต่างผสมปนเปกัน
รองเจ้าตำหนักสี่บนท้องฟ้าก็มองสวี่ชิงหลายครั้งเช่นกัน สีหน้าฉายแววเคารพนับถือ เขามองออกว่าปรมาจารย์ลูกกลอนเก้าผู้นี้ไม่ได้พูดโกหก มีความคิดเช่นนี้จริงๆ
ส่วนเซิ่งลั่วสูดลมหายใจลึก ยามนี้ก็สีหน้าเคร่งขรึมก้าวออกมาสองสามก้าว มองสวี่ชิง ประสานหมัดคารวะสุดตัว
“ปรมาจารย์ลูกกลอนเก้า ก่อนหน้านี้ข้า…เฮ้อ”
เซิ่งลั่วส่ายศีรษะ คารวะให้อีกครั้ง
สวี่ชิงพยักหน้า ไม่พูดอะไรมาก หันหลังเดินไปที่ศาลเจ้าของตน
ที่จริงเขาไม่ค่อยชอบอยู่ในสถานการณ์ที่อบอุ่นเช่นนี้เท่าไร หากก่อนหน้านี้เซิ่งลั่วไม่ได้จงใจหาเรื่องก่อน เขาก็คงไม่ทำตัวโดดเด่นเช่นนี้ ตอนนี้ระหว่างที่ไหววูบ สวี่ชิงก็กลับมาถึงศาลเจ้า
และเหมือนปกติ เขาวางลูกกลอนคลายคำสาปสิบเม็ดไว้ในกลุ่มแสงด้านในศาลเจ้า จากนั้นก็เลือกกลับไป ก่อนที่จะไป เขาก็ทำตามที่สัญญาไว้ ให้ลูกกลอนคลายคำสาปกับผู้ติดตามเขาเหล่านั้นคนละเม็ด
การจากไปของเขา ไม่ได้ทำให้ความตื่นเต้นในใจของคนทั้งตำหนักขบถจันทร์ลดน้อยลง เรื่องลดปริมาณคำสาป ก็ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรามาก่อนจริงๆ
ส่วนบทสนทนาสุดท้ายระหว่างลูกกลอนเก้าและปรมาจารย์เซิ่งลั่ว รายละเอียดที่แฝงอยู่ในนั้น ยิ่งทำให้รู้สึกประทับใจไม่รู้ลืม
ดังนั้นไม่นานนัก คนในตำหนักขบถจันทร์จึงเดินไปที่ศาลเจ้าของสวี่ชิงพร้อมด้วยความเคารพ พอตรวจสอบราคาของลูกกลอนคลายคำสาป ราคานี้…ทำให้ความศรัทธาในใจทุกคนเพิ่มสูงขึ้นอีก
แทบจะไม่แตกต่างอะไรกับราคาที่ขายลูกกลอนบรรเทาทุกข์ก่อนหน้านี้เลย สิ่งที่ต้องการเป็นแค่พวกสมุนไพรกับเอกสารข้อมูลเท่านั้น
“นี่ ถึงจะเป็นปรมาจารย์…” ไม่รู้ว่าผู้ใด หลังจากที่เห็นราคา เสียงถอนหายใจแผ่วเบา สะท้อนก้องอยู่ในจิตใจผู้บำเพ็ญทั้งหมดในตำหนักขบถจันทร์
ชื่อของลูกกลอนเก้า นับตั้งแต่บัดนี้ จะยิ่งฝังลึกเข้าไปในจิตใจของผู้คนในตำหนักขบถจันทร์
จินตนาการได้จากการวางขายยาลูกกลอนอย่างต่อเนื่องในอนาคตของสวี่ชิง หลังจากคนที่กินยาลูกกลอนของเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ การแทรกซึมเข้าไปในจิตใจผู้คนเช่นนี้ก็จะยิ่งสลักลงไปถึงจิตวิญญาณ
สวี่ชิงมีการคาดคะเนเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญมากจนเกินไป เขาที่กลับมาร้านยา ก็ใจจดจ่ออยู่กับการศึกษาวิหคทอง
เขาครุ่นคิดอยู่ตลอด คุณสมบัติของวิชาระดับจักรพรรดิคืออะไร แล้วจะขุดค้นวิหคทองลงไปลึกกว่านี้ได้อย่างไร
แต่เบาะแสไม่ค่อยชัดเจนนัก ขั้นตอนไม่ได้ราบรื่น แต่สวี่ชิงก็สัมผัสได้ว่า จากการศึกษาของตน จากการเปลี่ยนแปลงของวิหคทอง ช่วงเวลาที่หยัดยืนอยู่ในไข่มุกของเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด
นับตั้งแต่พริบตาที่เริ่มก็ตายทันที จนครั้งที่เจ็ด เขาก็หยัดยืนได้เกินหกอึดใจแล้ว
‘แต่…เหลืออีกสองครั้งเท่านั้น’
หลายวันผ่านไป ช่วงเช้าตรู่ สวี่ชิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในร้านยาลืมตาขึ้น เลือดสดไหลรินออกมาจากมุมปาก หลังจากกลืนยาลูกกลอนลงไป เขาก็ไม่อาจควบคุมความรู้สึกหงุดหงิดที่เกิดขึ้นได้
ความรู้สึกนี้ไม่ค่อยได้เห็นจากเขาเท่าไรนัก อันที่จริงความล้มเหลวแต่ละครั้งไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่หากสองครั้งนับจากนี้ยังไปไม่ถึงขั้นที่น่าพอใจ ครั้งที่สิบ…เขาก็จะเสียวิหคทองไป
เขาสัมผัสได้ว่า จอมคนเนตรดำในไข่มุก เจตนาร้ายรวมถึงความละโมบที่มีต่อตนเองรุนแรงอย่างยิ่ง
‘หากไม่ไหวจริงๆ ก็ทำได้แค่หยุดไว้ในครั้งที่เก้า’ สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ลุกขึ้นเดินออกจากห้องด้านหลัง มาถึงโถงใหญ่ของร้านยา
เขาอยากจะผ่อนคลายบ้างเล็กน้อย
เพิ่งเดินออกมา สวี่ชิงก็เห็นหลิงเอ๋อร์กำลังคิดบัญชีซ้ำไปซ้ำมา เหมือนว่าสำหรับหลิงเอ๋อร์ ยังมีบัญชีที่ยังคิดไม่เสร็จ สวี่ชิงเคยคอยสังเกตเรื่องนี้ พบว่าความสนุกกว่าครึ่งของหลิงเอ๋อร์คือการคิดบัญชีซ้ำไปซ้ำมา
หนิงเหยียนกำลังถูพื้น หลี่โหยวเฝ่ยกำลังเรียงยาลูกกลอน นายกองกำลังคุ้มกัน ส่วนอู๋เจี้ยนอูกำลังยืนท่องกลอนให้รัฐทายาทฟังข้างๆ
“ท่านปู่เบิกเนตรใต้หล้าสุกสกาว เหล่าหญิงสาวเฝ้าพิทักษ์อย่างหลงใหล!”
รัฐทายาทกำลังดื่มชา เมื่อได้ยินก็มองอู๋เจี้ยนอูผาดหนึ่งด้วยรอยยิ้ม

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา