บทที่ 618 ท้องฟ้าแดงฉาน โลกโรยรา
สวี่ชิงเมื่อคิดจะทำก็ลงมือทำเลย
หลังจากมีทิศทางแล้ว เขาก็เอาสมุนไพรพิษและลูกกลอนพิษในถุงเก็บของออกมา บางอย่างก็กลืนลงไปเลย บางอย่างทาไปทั่วตัว บางอย่างกรีดร่างของตัวเองแล้วยัดเข้าไป
แบบนี้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
สำหรับดวงตาก็ทำแบบนี้เช่นกัน เขาแปรเปลี่ยนลูกกลอนให้เป็นของเหลวแล้วหยดไปในดวงตา
ระหว่างนี้ยังมีพิษต้องห้ามผสานไปในยาพิษทุกห่อ กระจายไปทั่วทั้งร่าง ไปหล่อเลี้ยงความทรงจำกายเนื้อ หลอมสัญชาตญาณกายเนื้อของตัวเอง
เวลาผันผ่าน ครึ่งเดือนผ่านพ้นไป
ในทุกคืนวันในช่วงสิบกว่าวันนี้ สวี่ชิงจมอยู่ในนั้น หลายครั้งมองเห็นวัตถุก็เกิดเงาซ้อน แต่เขาไม่ยอมแพ้
สวี่ชิงรู้ดี คิดจะจำได้ถึงระดับความทรงจำกายเนื้อที่ตัวเองหวังเอาไว้ เช่นนั้นพิษที่ต้องใช้ไม่เพียงแต่ต้องใช้ในปริมาณมาก ชนิดของยาพิษก็ต้องหลากหลายด้วยถึงจะได้
และยาพิษในถุงเก็บของของเขาแม้จะมีไม่น้อย แต่ก็ยังไม่พอ แต่ว่าไม่เป็นไร มีตำหนักขบถจันทร์
ทุกครั้งที่สวี่ชิงมีความต้องการใหม่ๆ เขาก็จะไปขายลูกกลอนคลายคำสาปในตำหนักขบถจันทร์
ราคาคือสมุนไพรพิษและยาพิษ
จากการที่ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ กินยาลูกกลอนคลายคำสาปลงไป ชื่อเสียงของปรมาจารย์ลูกกลอนเก้าก็ยิ่งโด่งดังในตำหนักขบถจันทร์เช่นนี้เอง ผู้ที่ยกยอปอปั้นก็มากขึ้น
ส่วนผู้ติดตามก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลทุกวัน
ปรมาจารย์ลูกกลอนบางคนก็เพราะคำพูดที่กลั่นจากใจของสวี่ชิงเมื่อวันนั้นก็เข้าร่วมมาด้วย ในนี้โดยเฉพาะเซิ่งลั่ว หลายครั้งที่เขาชมเชยสวี่ชิงเป็นอย่างยิ่งต่อหน้าคนทั้งหลาย สีหน้าก็แฝงไว้ด้วยความเคารพ
เพียงพริบตา ในตำหนักขบถจันทร์ก็แทบจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักชื่อของปรมาจารย์ลูกกลอนเก้า ค่อยๆ สร้างความสนใจให้กับรองเจ้าตำหนักคนอื่นๆ ยิ่งลือไปนอกตำหนักขบถจันทร์ แพร่มาในในกองกำลังต่อต้านของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา
บางคนบอกว่านี่เป็นผู้วิเศษระดับหวนสู่อนัตตาคนหนึ่ง ค้นคว้าศึกษาวิถียามาชั่วชีวิต
และก็มีคนบอกว่าเขาน่าจะมาจากนอกแผ่นดินใหญ่ ดังนั้นก่อนหน้านี้จึงไม่มีร่องรอยปรากฏออกมาเลยแม้แต่น้อย
แล้วก็ยังมีคนบอกว่าบางทีอาจจะเป็นสายลับของตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด แต่ว่าประเด็นนี้คนที่เห็นด้วยมีน้อยมาก
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ความลึกลับของตัวตนปรมาจารย์ลูกกลอนเก้าล้วนติดอยู่ในใจของผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์มากมาย
ต่อให้เป็นรองเจ้าตำหนักก็ไม่อาจรู้ได้ ไม่มีอำนาจไปสืบหา
มีเพียงเจ้าตำหนักขบถจันทร์เท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติมองตัวตนของผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์ทุกคนออก
เพียงแต่ตำหนักขบถจันทร์นับแต่โบราณมาจนถึงตอนนี้ ในห้วงเวลาอันเนิ่นนานนับไม่ถ้วน ศาลเจ้าที่อยู่สูงที่สุดแห่งนั้นก็ไม่เคยเปิดออกเลย
ต่อให้จะกะพริบแสงบ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็มักจะหมองหม่นแสงลงไปภายในหนึ่งปี
จากนั้นก็จะมีรองเจ้าตำหนักเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง
รายละเอียดคืออะไร แม้จะมีคนรู้แต่กลับไม่มีทางวิพากษ์วิจารย์ออกมาง่ายๆ
ส่วนสวี่ชิงทางนี้เขารู้ว่าชื่อเสียงบารมีของตัวเองเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาที่ตอนนี้จมจ่อมอยู่ในการวางยาพิษตัวเองก็ไม่ได้ไปสนใจเท่าไรนัก เพราะการฝึกบำเพ็ญพิษต้องห้ามของเขา สุดท้ายก็ยังคงหยุดชะงักไป
ความขาดแคลนของทรัพยากรแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราทำให้ขาดแคลนสมุนไพรมากมายเหลือเกิน ดังนั้นสวี่ชิงจึงไม่สามารถหล่อเลี้ยงสัญชาตญาณของร่างกายตามที่คิดเอาไว้ได้
‘ข้าต้องการสมุนไพรพิษเป็นจำนวนมหาศาล ขณะเดียวกันก็ต้องจับกลุ่มเป็นตำรับยานับไม่ถ้วน อีกทั้งยังต้องทดลองปรับปรุงสูตรอยู่ตลอด
‘หากอยู่ที่เขตปกครองผนึกสมุทรบางทีอาจจะได้ แต่อยู่ที่นี่…ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์ช่วยข้าหา ก็ยังขาดไปอีกบ้างอยู่ดี
‘โดยเฉพาะสมุนไพรพิษบางอย่างข้าก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน แค่เคยเห็นบันทึกในตำรายาเท่านั้น’
สวี่ชิงครุ่นคิด ในสมองหลายวันนี้มีเรื่องที่รัฐทายาทมาหาเขาเมื่อหลายวันก่อน บอกถึงข้อดีข้อเสียของการลงมือเปลี่ยนแปลงการรับรู้
‘ทิ้งตราประทับไว้ในวิญญาณของข้า’
สวี่ชิงตัดตัวเลือกนี้ทิ้งไป เขาตัดสินใจพึ่งตัวเองดีกว่า แม้จะช้าไปสักหน่อย แต่วิธีนี้สวี่ชิงรู้สึกว่าเหมาะกับตนที่สุด
‘แต่ว่ารัฐทายาทยังบอกว่ามีอีกวิธีหนึ่ง เกี่ยวกับพระจันทร์สีม่วงของข้า’
สวี่ชิงเงยหน้ามองไปทางโถง ในใจเกิดการคาดเดา
เขานึกย้อนถึงการฝึกฝนชุดนั้นที่รัฐทายาทมาฝึกให้กับเขายังเทือกเขาทนทุกข์ แล้วคิดเชื่อมโยงไปถึงอีกวิธีหนึ่งที่อีกฝ่ายบอก มักมีความรู้สึกหนึ่ง เหมือนว่า…อีกฝ่ายจะชักนำตนเองอยู่ตลอด ให้ตัดสินใจเลือกตัวเลือกที่สองนี้
สวี่ชิงเงียบนิ่ง นึกย้อนถึงคำพูดของรัฐทายาทเมื่อหลายวันก่อน
“เจ้าหนู ความจริงยังมีอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้เจ้าสัมผัสได้ถึงครรลองสายตาของเทพเจ้า มองเห็นโลกความเป็นจริงได้เช่นกัน ทำให้ในเสี้ยวขณะนั้นในดวงตาเจ้าแฝงด้วยพิษ
“วิธีนี้เกี่ยวข้องกับพระจันทร์ม่วงของเจ้า
“ทว่า วิธีนี้อันตรายเป็นอย่างมาก ต่อให้เป็นข้า ความจริงแล้วในใจก็ยังลังเลว่าจะบอกเจ้าดีหรือไม่
“แต่ข้ามั่นใจว่าหากสำเร็จ โลกที่เจ้ามองเห็นจะเป็นหน้าตาที่แท้จริง แต่ข้าไม่มั่นใจว่าถึงตอนนั้น…เจ้าจะยังเป็นเจ้าอยู่อีกหรือไม่
“ทว่า นับจากเสี้ยวพริบตาที่เจ้าได้พลังต้นกำเนิดชื่อหมู่ บางทีนี่อาจจะเป็นเส้นทางที่เจ้าต้องเดิน นอกเสียจากว่าเจ้าจะยินดีทิ้งพลังพระจันทร์สีม่วงของเจ้าไป
“ดังนั้นเจ้าคิดเอาเอง ข้าให้เวลาเจ้าเจ็ดวัน หากเจ้าตัดสินใจแล้ว เช้าตรู่ของวันที่แปดให้มาหาข้า และจะต้องเป็นเวลานี้เท่านั้น
“ถึงตอนนั้นข้าจะบอกรายละเอียดกับเจ้า เรื่องนี้เกี่ยวพันกับเทพเจ้า มีผลกรรมเวร หากเจ้าไม่มาข้าก็จะไม่บอก”
คำพูดเหล่านี้ สวี่ชิงหลายวันนี้ก็ขบคิดอยู่ เขาเดาว่าหลังจากวิหคทองและพิษต้องห้ามแล้ว ก็จะยกระดับปราณพระจันทร์ม่วงของตัวเอง
แต่เขาไม่เข้าใจ ทำไมรัฐทายาทบอกกับตนว่าหลังจากตัดสินใจแล้ว จะต้องให้ไปบอกในเช้าตรู่ของวันที่แปด
เวลานัดหมายนี้ทำให้สวี่ชิงไม่ค่อยเข้าใจ
และวันนี้เป็นกลางดึกของวันที่เจ็ด ห่างจากเช้าตรู่ที่รัฐทายาทบอกอีกสองชั่วยาม
สวี่ชิงสัมผัสโลกภายนอก เห็นรัฐทายาทต่างไปจากวันก่อนๆ เขาไม่ได้ดื่มชาอยู่ในโถงใหญ่ แต่อยู่ข้างนอก อยู่บนหลังคา กำลังมองท้องฟ้า

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา