บทที่ 62 มากตัณหา
สวี่ชิงที่ตอนนี้ไปจากร้านขายยา กำลังมุ่งหน้าไปที่ท่าเรือที่เจ็ดสิบเก้า
งานของกรมปราบพิฆาตแม้จะขานชื่อทุกวัน ออกไปร่วมลาดตระเวนบ้างเป็นบางครั้ง แต่ความจริงเวลาที่ไม่มีภารกิจส่วนมากก็จะอิสระ ดังนั้นสวี่ชิงจึงวางแผนว่าจะกลับไปที่ท่าเรือฝึกบำเพ็ญต่อ
เขาเดินอยู่ริมถนนตามความเคยชิน พยายามทำให้ตัวเองกลืนไปกับความมืด เดินไปข้างหน้าเงียบๆ
เนื่องจากพายุ เรือสินค้ามากมายและเรือที่ออกทะเลของลูกศิษย์ในสำนักจึงไม่สามารถเข้าท่าเรือได้ทัน ส่วนมากล้วนติดอยู่กลางทะเล
วันนี้ลมพายุสงบแล้ว แม้จะยังมีฝนแต่เรือที่สามารถเข้าท่าเรือได้ก็มีมาก
สวี่ชิงเดินอยู่ที่ท่าเรือ สมองก็ขบคิดเรื่องยาลูกกลอนและการฝึกบำเพ็ญของตัวเอง
’ต้นทุนของลูกกลอนขาวหนึ่งเม็ดประมาณสามเหรียญวิญญาณ เรื่องนี้ต้องวางแผนระยะยาว ค่อยๆ สะสมไปก็จะได้ผลเก็บเกี่ยวที่ไม่ธรรมดาเลย’ สวี่ชิงลูบหินวิญญาณที่ได้มาจากการขายลูกกลอน
‘ค่าใช้จ่ายในการฝึกฝนสูงมาก หากอยากจะรักษาความเร็วอย่างก่อนหน้านี้ ต้องใช้หนึ่งก้อนทุกวัน แล้วยังมีค่าท่าจอดเรือที่ใกล้จะต้องจ่ายแล้ว
‘ส่วนการหลอมเรือยิ่งมีราคาแพงมหาศาล’ สวี่ชิงถอนหายใจในใจ เสียใจนิดๆ ที่ก่อนหน้านี้ฆ่าอย่างเด็ดขาดเกินไป พลาดโอกาสรับวัตถุและแต้มอุทิศของอีกฝ่าย
ดังนั้นจึงขบคิดว่าควรจะคิดหาวิธีจับคนร้ายให้มากขึ้นอีกนิด หรือไม่ก็ไปพื้นที่ต้องห้ามสักหน ไม่อย่างนั้นหากเป็นเช่นนี้ต่อไป คิดจะยกระดับเรือเวทก็จะขาดแคลนทรัพยากร
ค่าครองชีพของเมืองหลักสูงมาก แต่ที่แพงที่สุดคือทรัพยากรฝึกบำเพ็ญ อย่างแรกประชาชนยังพอรับได้ แต่อย่างหลังไม่ต้องพูดถึงว่าไม่มีสิทธิ์ซื้อ ต่อให้เป็นลูกศิษย์ที่มีสิทธิ์ซื้อก็น้อยนักที่กว้านซื้อได้
สำหรับลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตแล้ว ค่าอยู่อาศัยสามสิบเหรียญวิญญาณทุกวันไม่นับเป็นเรื่องอะไร สิ่งที่ทำให้พวกเขาลอบสังหารแย่งชิงกันเองจริงๆ คือทรัพยากรฝึกบำเพ็ญของกันและกัน
หากอยากพัฒนา ถ้าไม่รับภารกิจออกไปข้างนอกให้ได้มา ก็แอบลอบสังหารช่วงชิงเอามา ไม่มีทางเลือกอื่น
จุดนี้มีเพียงศิษย์หลักที่ได้ป้ายฐานะถึงมีสิทธิ์อาศัยบนเขาแต่ไม่ได้สิทธิ์การแบ่งปันผลประโยชน์ ถึงจะดีขึ้นไม่น้อย
ช่วงนี้สวี่ชิงได้ยินเรื่องเกี่ยวกันสำนักเจ็ดเนตรโลหิตมากมาย และเข้าใจแล้วว่าศิษย์หลักที่ว่าก็คือคนที่ถือป้ายสีที่แท้จริงของแต่ละยอดเขาเข้าสำนัก
อย่างยอดเขาที่เจ็ดจะเป็นป้ายแนะนำสีม่วง
ใครคนใดก็ตามที่ถือป้ายเช่นนี้ เมื่อเข้าสำนักก็สามารถอาศัยบนเขาได้เลย เสื้อผ้าของพวกเขาล้วนเป็นสีอ่อนประจำแต่ละยอดเขา อย่างชายหนุ่มชุดนักพรตสีม่วงอ่อนที่ถนนวันนั้น อย่างเด็กสาวชุดนักพรตสีส้มอ่อนคนนั้นเมื่อก่อนหน้านี้
พวกเขามักจะเป็นคนรุ่นหลังของผู้นำระดับสูงของยอดเขาต่างๆ ซื้อวัตถุใดก็ตามล้วนเป็นราคาครึ่งหนึ่งของลูกศิษย์ล่างเขาคนอื่นๆ แต่ว่ากฎของสำนักกำหนดไว้ว่าห้ามมิให้ขายต่อเพื่อเก็งกำไร หากถูกจับได้ก็จะยกเลิกฐานะ ดังนั้นจึงน้อยคนที่จะยอมเสี่ยง
ระหว่างศิษย์หลักกับลูกศิษย์ล่างเขาแม้จะไม่ยุติธรรมมากๆ แต่วาสนาของคนก็เป็นเช่นนี้ ส่วนผู้สวมชุดนักพรตสีเข้มของแต่ละยอดเขา ก็มีเพียงผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานขึ้นไปเท่านั้นจึงจะได้ครอบครอง พวกเขาอยู่เหนือศิษย์หลัก มีสิทธิ์ได้รับการแบ่งผลประโยชน์ของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต
“ต้องรีบหาวิธีหาเงิน…” ในระหว่างที่สวี่ชิงบ่นพึมพำก็ได้ยินเสียงเซ็งแซ่ดังมาจากที่ไกล ขัดจังหวะความคิดของเขา
สวี่ชิงเงยหน้าขึ้นมองไปตามเสียง ก็เห็นริมฝั่งข้างหน้ามีลูกศิษย์จำนวนไม่น้อยรวมตัวกัน เหมือนกำลังรออะไรอยู่
แม้แต่ลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ดที่อยู่ในเรือเวททุกลำยังทยอยเดินกันออกมา
กระทั่งว่าข้างหลังของเขาตอนนี้มีเสียงดังลอยมา ลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ดอย่างน้อยหลายร้อยคนมารวมตัวกันอย่างรวดเร็วจากทั่วทุกสารทิศ
แต่ละคนมองไปยังประตูใหญ่ท่าเรือที่อยู่ไกลลิบด้วยสีหน้าแฝงด้วยความคาดหวังและความปรารถนา
สวี่ชิงเห็นภาพฉากนี้ก็แปลกใจนิดๆ ดังนั้นจึงมองไปทางประตูใหญ่ของท่าเรือเช่นกัน ไม่นาน ที่สุดปลายสายตาของเขาก็มีเรือมหึมาลำหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้น
เรือลำนี้ยาวอย่างน้อยร้อยเจ็ดสิบร้อยแปดสิบจั้ง เป็นสีทองทั้งลำ หรูหราเป็นอย่างยิ่ง ใต้แสงอาทิตย์ยามเย็นก็ทอประกายแสงเจิดจ้าระยิบระยับ หัวเรือมีรูปสลักแมงมุมหน้าคนขนาดมหึมา
ดวงตาบนใบหน้ามนุษย์มีเพียงตาเดียว เหมือนฝังไว้ด้วยอัญมณี ดูโอ้อวดยิ่งนัก
มองไกลๆ เรือเหมือนสัตว์ยักษ์ตัวหนึ่ง กำลังแหวกทะเลมา
บนเรือลำนั้น ยังมีหออาคารที่หรูหรายิ่งขึ้นไปอีก ระหว่างหออาคารโอ่อ่าหรูหรายังสามารถมองเห็นองครักษ์จำนวนมากมายในนั้นอีกด้วย
ตอนนี้เสียงหวูดดังสะท้อนก้อง ใกล้ท่าเรือเข้ามาเรื่อยๆ
“องค์ชายสาม”
“องค์ชายสามกลับมาแล้ว!”
ในกลุ่มคนมีเสียงฮือฮาดังขึ้นมาทันที
“องค์ชายสามหรือ” สวี่ชิงมองเรือหรูหราเป็นอย่างยิ่งลำนั้นค่อยๆ แล่นเข้ามาเทียบท่าอย่างสงสัยใคร่รู้ กลิ่นคาวกลุ่มหนึ่งแผ่กระจายไปทั่วจากการที่มันเข้าใกล้มา
ยิ่งมีพลังกดดันแข็งแกร่งแผ่ออกมาจากเรือลำนั้น ยิ่งเขย่าขวัญจิตใจสั่นสะท้าน
สวี่ชิงหลังจากที่สัมผัสได้เล็กน้อย ดวงตาก็หดเล็ก
ความแข็งแกร่งของพลังกดดันนี้ทำให้เขารู้สึกอันตรายสุดขีด เหมือนเจอกับสิ่งมีชีวิตน่าหวาดกลัวในจุดลึกของป่าต้องห้ามพวกนั้น
โดยเฉพาะตอนนี้ที่มันเข้ามาใกล้ เขามองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบนเรือลำใหญ่หรูหราลำนี้นอกจากหออาคารและองครักษ์แล้ว ยังมีหอกแหลมที่ทุกเล่มส่องประกายวาวแววอีกด้วย
หอกแหลมพวกนี้ล้วนยาวถึงจั้งกว่าๆ บนนั้นสลักอักขระซับซ้อนเอาไว้ แผ่พลังฆ่าสังหารที่น่าหวาดกลัวออกมา
เรือเช่นนี้เป็นเรือที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่สวี่ชิงเคยเห็นในช่วงหลายวันมานี้
ลำพังเพียงเรือลำนี้ ก็ทำให้สวี่ชิงรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถต้านทานได้ นี่ทำให้เขายิ่งเข้าใจในเรือเวทของยอดเขาที่เจ็ดลึกซึ้งขึ้น ในขณะที่จิตใจสั่นสะท้าน สวี่ชิงก็ได้เห็นด้านในหอบนเรือที่ยิ่งใหญ่ พลังน่าเกรงขามมีคนเดินออกมาท่ามกลางเสียงเคารพนอบน้อมที่ดังขึ้นเป็นระลอกคลื่นจากรอบๆ
คนที่เดินนำออกมาก่อนคือชายหนุ่มผอมสูงสวมชุดนักพรตสีม่วง!
ชุดคลุมยาวสีม่วงบนร่างของเขาไม่ใช่สีอ่อนอย่างที่สวี่ชิงเคยเห็น แต่เป็น…สีเข้ม!!
ชุดคลุมยาวสีม่วงที่เป็นสีเข้มทั้งยังบริสุทธิ์ไม่มีอะไรเจือปน สวมใส่อยู่บนร่างของชายหนุ่มคนนี้ ภาพนี้แสดงถึงฐานะ ทำให้สวี่ชิงสีหน้าเคร่งเครียด เขารู้…พลังบำเพ็ญของชายหนุ่มคนนี้จะต้องเป็นระดับสร้างฐานแน่นอน
อีกทั้งดูจากความเคารพนอบน้อมจากคนทั้งหลายรอบๆ ก็มองออกว่าฐานะของคนคนนี้…ก็ไม่ได้เป็นแค่ระดับสร้างฐานธรรมดาๆ เช่นนั้นแน่
เพียงแต่สีหน้าของชายหนุ่มคนนี้เหลืองซีด ดวงตามีขอบตาดำคล้ำ ร่างกายผอมซูบ ท่าทางเหมือนถูกสุรานารีสูบพลังจนหมด ในดวงตายังฉายแววหื่นกามออกมา
เขายืนอยู่ที่หัวเรือ บนศีรษะสวมหมวกสีขาวใบหนึ่ง บนนั้นปักคำว่าสะกดตัวใหญ่เอาไว้
ตัวอักษรนี้แปลกประหลาดมาก ทั้งยังแผ่พลังกดดันที่ยากบรรยายออกมา
ส่วนชุดนักพรตสีม่วงเข้มที่ทำให้คนไม่รู้ต่อเท่าไรต้องบ้าคลั่ง เมื่ออยู่บนร่างของเขาก็ใหญ่โคร่งเหลือประมาณ ลมเพียงพัดก็ส่งเสียงดังพึ่บพั่บ คล้ายว่าจะพัดเขาล้ม
เขาก็เหมือนรู้ถึงความอ่อนแรงของตัวเองเหมือนกัน ดังนั้นในตอนนี้ที่เดินออกมาก็เสพสุขกับความเคารพนอบน้อมที่มาจากลูกศิษย์บนฝั่งพลางโอบหญิงสาวที่สวมเสื้อคลุมสองคนเอาไว้เพื่อพยุงตัว
ผู้หญิงคนหนึ่งในนั้นมือยังถือขวดผลึกแก้วใบหนึ่งเอาไว้ด้วย ในนั้นแช่ของบำรุงต่างๆ นานาเอาไว้ กำลังป้อนเขาทีละคำๆ
ผู้หญิงสองคนนี้อายุไม่มาก หน้าตางดงามหยามเยิ้ม ดวงตาสีเขียวฉายเสน่ห์น่าหลงใหลออกมา เมื่อลมทะเลพัดมา ผมยาวสะบัดพลิ้ว เผยให้เห็นรูปร่างอรชรสูงโปร่งที่มีส่วนโค้งเว้าใต้ร่มผ้า
ส่วนอกที่โด่งนูน สะโพกกลมกลึง ทั้งยังเอวที่บางจนเกินสมควรนั่น รวมกับใบหน้าใสบริสุทธิ์ ทำให้ทั้งร่างของนางแผ่กลิ่นอายที่ชวนกระตุ้นสัญชาตญาณดิบออกมาเป็นระลอกๆ
เสื้อผ้าอาภรณ์ที่พวกนางสวมใส่ใจกล้ายิ่ง เส้นโค้งเว้าร้อนแรงและผิวขาวเนียนที่เหมือนว่าเพียงแค่เป่าหรือดีดก็แตกสลายได้ เมื่อปรากฏในสายตาของลูกศิษย์ทุกคนก็ทำให้มองข้ามช่องเหงือกทั้งสองข้างแก้มของพวกนางไปโดยไม่รู้ตัว

ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา