บทที่ 61 ร่างงามใต้ร่ม
เมื่อตรวจสอบรอบหนึ่ง สวี่ชิงจึงก้มลงเก็บถุงเปื้อนเลือดของผู้บำเพ็ญกลางคนขึ้นมา จากนั้นก็โรยผงสลายศพไปบนร่างเขา ศพที่เลือดเนื้อเละเทะเข้ารวมกับน้ำฝนที่อยู่บนพื้นท่ามกลางการชะล้างของสายฝน
เมื่อจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จ สวี่ชิงก็กลับมายังเรือเวท นั่งขัดสมาธิอยู่ในตัวเรือ เขาเปิดถุงของอีกฝ่ายดู หลังจากกวาดตามองก็ย่นคิ้ว ในถุงนี้นอกจากของสัพเพเหระบางส่วน ก็ไม่มีหินวิญญาณหรือทรัพยากรการฝึกบำเพ็ญอยู่เลย
เรือเวทเองก็ไม่มี มีแค่แผ่นหยกสีเลือดชิ้นหนึ่งกับป้ายฐานะเท่านั้น แต่จากการตายของคนผู้นี้ ป้ายฐานะจึงสิ้นประกายแสงไปแล้ว ส่วนเรื่องแต้มอุทิศด้านในมีอยู่เท่าไร สวี่ชิงมองไม่เห็น และไม่สามารถโยกย้ายได้ด้วย
สิ่งนี้ จำเป็นต้องให้เจ้าตัวดำเนินการให้
“สิ่งของของเขา น่าจะเก็บเอาไว้ที่อื่น…” สวี่ชิงลอบถอนหายใจ แต่ก่อนเวลาลงมือเขามักจะสังหารทิ้งเป็นหลัก จึงทำให้โยกย้ายแต้มอุทิศอีกฝ่ายมาลำบาก
“ครั้งหน้า ถ้าหากมีโอกาส ต้องทำให้เจ็บหนักก่อนหรือ” สวี่ชิงคิด แต่ก็รู้สึกว่าเช่นนี้มันไม่น่าเชื่อถือ จึงล้วงเอาแผ่นหยกชิ้นนั้นขึ้นมา หลังจากตรวจสอบดวงตาของเขาก็เผยประกายออกมาฉับพลัน
“ประกาศจับ?” นี่ไม่ใช่ตราหยกประกาศจับทั่วไป แต่เป็นสิ่งที่ใช้ประกาศกันแบบส่วนตัว ด้านในมีข้อมูลคนเป็นพรวน ล้วนเป็นศิษย์ของเจ็ดเนตรโลหิตทั้งสิ้น ด้านหลังยังมีราคาแสดงไว้อีกด้วย
แถวหนึ่งในนี้ ด้านในเขียนชื่อสวี่ชิงไว้ชัดเจน กระทั่งยังมีชื่อเล่นของเขาในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดอีกด้วย ราคาที่อยู่ด้านหลัง คือห้าสิบหินวิญญาณ
‘บรรพชนสำนักวัชระ!’ สวี่ชิงดวงตาเปล่งประกายเย็นเยียบ สามารถรู้ข้อมูลของเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังตั้งค่าหัวไว้ห้าสิบหินวิญญาณ ก็มีแต่บรรพชนสำนักวัชระเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายหาร่องรอยตนเองพบแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้ข้อมูลของตนเองในสำนักเจ็ดเนตรโลหิตอีกด้วย
ถึงอย่างไรเมืองเขากวางแม้จะเป็นเมืองย่อยของเจ็ดเนตรโลหิต แต่ก็มีสายของสำนักวัชระอยู่ในพื้นที่ ตรวจสอบขึ้นมาคงไม่ยากเกินไปนัก
“บรรพชนสำนักวัชระรู้ข้อมูลได้เร็วขนาดนี้ อธิบายได้ว่ามีเส้นสายในเจ็ดเนตรโลหิตอยู่ด้วยเช่นกัน”
“แต่ติดที่กฎเกณฑ์ของเจ็ดเนตรโลหิต เขาไม่กล้าลงมือเอง ดังนั้นจึงตั้งค่าหัวขึ้นมา!”
สวี่ชิงครุ่นคิด เหลือบมองแผ่นหยกสีเลือดในมือ หลังจากดำเนินการบางอย่าง ก็รับภารกิจสังหารตนเองขึ้นมา
“ต้องรีบฝึกบำเพ็ญแล้ว จากนั้นก็จัดการบรรพชนสำนักวัชระทิ้งให้ไวที่สุด”
เวลาไหลผ่านไปหลายวัน
ฝนห่านี้ตกมาถึงสี่วันเต็ม
วันที่สามกลายเป็นลมพายุใหญ่ โหมพัดคลื่นยักษ์ขึ้นมา เหมือนจะพัดกวาดท่าเรือทิ้งทั้งหมด
แต่เมืองหลักที่อยู่ภายในของค่ายกล ไม่ว่าลมพายุจะน่าพรั่นพรึงเพียงใด ท่าเรือก็ยังเหมือนกับหินโสโครก ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย จนกระทั่งถึงเช้าตรู่วันที่ห้า ลมพายุที่ไม่อาจกำเริบเสิบสานต่อก็จำใจต้องเลือกถอยหนี ลมฝนค่อยๆ เบาบางลง
สวี่ชิงเงยหน้ามองท้องฟ้าด้านนอก แม้จะเป็นช่วงเช้าตรู่ แต่ฟ้าก็ยังเทาทะมึนเต็มไปด้วยแรงกดดัน
เขาจัดเรียงยาลูกกลอนอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงเดินออกจากเรือเวท เพิ่งจะได้เหยียบขึ้นฝั่ง กลิ่นคาวของทะเลแผ่ซ่านมา ผสมความกระหายเลือดจางๆ เดี๋ยวชัดเดี๋ยวเลือนในลมฝนด้านนอก
สี่วันนี้แม้ลมพายุกระหน่ำไปทั่ว แต่สำหรับกรมปราบพิฆาต ลมฝนไม่อาจสกัดกั้นภารกิจได้ เพียงแต่นอกเหนือจากงานของทุกวันอย่างการค้นหาร่องรอยของนกเขาราตรีแล้ว ก็ยังมีอีกอย่างหนึ่งเพิ่มเข้ามา
นั่นก็คือจับตัวคนร้าย
ทุกครั้งที่มีลมพายุเข้าเจ็ดเนตรโลหิต เนื่องจากสภาพอากาศที่เลวร้ายรวมไปถึงหน่วยงานต่างๆ หยุดทำการ ประกอบกับการที่ผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่ไม่ออกไปไหน ดังนั้น…การลอบแย่งชิงกับลอบสังหารกันจึงปะทุขึ้นมาอย่างฉับพลัน
เอาแค่สี่วันนี้ จากสถิติของกรมปราบพิฆาตยอดเขาลำดับเจ็ด พื้นที่ท่าเรือมีศิษย์ตายไปกว่าแปดสิบคน ในนี้มีศิษย์ของกรมปราบพิฆาตตายไปถึงเจ็ดคน
ส่วนจำนวนคนที่ตายไปในหกพื้นที่ที่เหลือ คนนอกไม่มีใครล่วงรู้ แต่ไม่มีทางน้อยกว่ากันเท่าไรเป็นแน่
ในลมฝนพายุ ออกไปหาเบาะแสได้ยาก ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ในเจ็ดเนตรโลหิต กรมปราบพิฆาตเองก็เห็นเป็นเรื่องปกติไปแล้ว จึงแค่ออกมาตรวจสอบคร่าวๆ เท่านั้น
ต่อให้ในกองที่หกจะมีสมาชิกเก่าแก่ตายไปคนหนึ่ง ก็ไม่มีใครออกมาสอบถาม
สวี่ชิงหลายวันนี้ก็หาโอกาสสอบถามนายกองเกี่ยวกับเรื่องของเถ้าแก่ในโรงเตี๊ยมถนนทองผุดเช่นกัน ถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ใช่เผ่ามนุษย์ มีเส้นสายอยู่ในยอดเขาลำดับหนึ่งจนได้รับสิทธิ์เข้าพักในเมืองหลักมา
ในวันปกติก็ไม่มีเรื่องราวอะไร ส่วนเรื่องไม่ดีที่ซ่อนไว้ในโรงเตี๊ยม เห็นแก่หน้าของยอดเขาลำดับหนึ่ง ขอแค่ไม่ล้ำเส้น กรมปราบพิฆาตก็จะไม่ไปสนใจ
สวี่ชิงเองก็รู้ว่าบนโลกใบนี้เผ่ามนุษย์ไม่ใช่ชนเผ่าเพียงหนึ่งเดียว แต่ยังมีอมนุษย์อยู่อีกมากมาย
แต่เขาก็เคยเห็นชายชราโรงเตี๊ยมเพียงแค่คนเดียว ดังนั้นจึงพับเรื่องนี้เก็บไว้ใจก่อน
หลังจากไปขานชื่อที่กรมปราบพิฆาต สวี่ชิงจึงกางร่ม เดินไปบนถนน
เขาเตรียมจะไปร้านยารอบหนึ่ง นำเอาลูกกลอนขาวที่ตนเองหลอมออกมาช่วงนี้ไปขายเสียหน่อย แล้วเปลี่ยนเป็นสมุนไพรที่มากยิ่งกว่า ดังนั้นพอบนตัวมีลูกกลอนขาวอยู่มากมายเช่นนี้ ความระแวดระวังของสวี่ชิงจึงยิ่งมากขึ้นไปอีก
บางทีคงเป็นเพราะฝนบางเบาลงแล้ว ดังนั้นกลุ่มคนในเมืองวันนี้จึงพลุกพล่านกว่าหลายวันก่อนอยู่บ้าง ในขณะที่สวี่ชิงระมัดระวังตัว เพียงไม่นาน เขาก็มาถึงร้านขายยาที่ไปบ่อยๆ
คนในร้านไม่เยอะมาก แต่สวี่ชิงก็มองเห็นเงาที่คุ้นเคยคนหนึ่ง โจวชิงเผิงที่เข้าสำนักมาพร้อมกับเขานั่นเอง
โจวชิงเผิงเองก็เห็นสวี่ชิง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มองไม่ออกในทีแรก เพียงแค่รู้สึกว่าคนตรงหน้านี้คุ้นหน้าคุ้นตา ถึงอย่างไรการทดสอบวันนั้น สวี่ชิงก็เนื้อตัวสกปรกมอมแมมอีกทั้งแต่งตัวเป็นคนเก็บกวาดด้วย
สวี่ชิงไม่พูดอะไร เถ้าแก่ที่อยู่ข้างๆ พอเห็นเขาเข้ามาก็คลี่ยิ้มบาง เขาจำสวี่ชิงได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่ศิษย์ยอดเขาลำดับสอง แต่กลับเข้าใจยาสมุนไพรดีถึงเพียงนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เห็นได้บ่อย
“เจ้ามาได้เวลาพอดี วันนี้ข้ามีของดีด้วย” เถ้าแก่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม จากนั้นหยิบถุงหนังปิดผนึกใบหนึ่งออกมาจากด้านหลัง พอเปิดออกก็เผยให้เห็นซากแมลงสีน้ำเงินที่แห้งแล้วห้าตัวด้านใน
แมลงนี้หน้าตาดูดุร้าย ปากยาว มีขาสี่คู่ แผ่นหลังมีลวดลายตามธรรมชาติที่ดูเหมือนหน้าผีอยู่ และลวดลายหน้าของแต่ละตัวยังแตกต่างกัน บ้างก็เหมือนร้องไห้ บ้างก็เหมือนยิ้ม บ้างก็เหมือนกำลังโกรธ
ถึงแม้ทั้งตัวจะใหญ่แค่ฝ่ามือ แต่ก็มีหนามอยู่ทั่วตัว โดยเฉพาะที่หาง ยังมีปากอีกปากหนึ่ง
พอมองอย่างละเอียดก็จะเห็นว่าฟันแหลมคมมาก
ถึงแม้เวลานี้จะตายและถูกตากแห้งจนลำตัวแห้งเหี่ยว แต่พอกวาดตามองก็ยังคงถูกรูปร่างที่น่าสะพรึงของมันทำให้จิตใจสั่นสะเทือนอยู่ดี
“แมงดาพรายปรารถนา!” สวี่ชิงสีหน้าตะลึงเล็กน้อย รีบเดินขึ้นหน้าแล้วสังเกตอย่างละเอียด เขาเคยได้ยินปรมาจารย์ไป่พูดถึงแมงดาพรายปรารถนานี้ก่อนหน้า มันจะดำรงชีวิตอยู่ในทะเลลึกเท่านั้น ปกติพบเห็นในเมืองได้น้อยถึงน้อยมาก เป็นแมลงพิษ
เลือดของมันเป็นสีน้ำเงิน มีความเป็นพิษสูง แต่พอนำมาประกอบกรรมวิธีปรุงแบบพิเศษบางอย่าง สามารถสร้างออกมาเป็นยาศักดิ์สิทธิ์รักษาบาดแผลได้
โจวชิงเผิงที่กำลังดูยาลูกกลอนในร้าน พอได้ยินก็กวาดตามองมา
“เจ้ารู้จักจริงด้วย” เถ้าแก้เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม ขณะเดียวกันก็มองสวี่ชิงสูงส่งขึ้นไปอีก เขารู้จักแมลงพิษนี้เป็นอย่างดี ต่อให้เป็นศิษย์จากยอดเขาลำดับสอง คนที่รู้จักก็มีอยู่น้อยมาก
ดังนั้นในใจจึงอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา ว่าเด็กหนุ่มหล่อเหลาตรงหน้าไปร่ำเรียนความรู้ตัวยาไม่ธรรมดาพวกนี้มาจากที่ใดกันแน่
“ขายอย่างไรหรือ” สวี่ชิงตื่นเต้น ถามกับเถ้าแก่


ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้กล้าเหนือกาลเวลา